วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิธีแก้อาการอ่อนเพลีย หลังเดินทาง
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มือ...อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
1. ฝ่ามือถูฝ่ามือ
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
งดอาหารเช้าบ่อยเสี่ยงโรคหัวใจ
คนที่มีความเสี่ยงเหล่านี้มากที่สุดคือ ผู้ใหญ่รายที่มักไม่ทานอาหารเช้าเมื่อสมัยยังเด็ก และยังคงทำเช่นนี้มาตลอดเมื่อโตขึ้น แม้ผลวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า อาหารเช้าส่งผลดีต่อหัวใจ แต่งานชิ้นนี้เป็นครั้งแรกที่ติดตามผลเสียในระยะยาว งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีอายุถึงช่วง 20 ปลายๆ คนที่ไม่ค่อยทานอาหารเช้าเมื่อตอนเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ซึ่งติดตามศึกษาอาสาสมัคร 2,184 คนในช่วงเวลา 20 ปี พบว่า การงดอาหารเช้าจะทำให้ลักษณะการสะสมไขมันของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และคนเหล่านี้มักทานอาหารไม่ตรงเวลา
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพ่อ
ด้วยชีวิต พื่อลูก .. เฝ้าดูแล ด้วยสองมือไม่ผันแปร
บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา
วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เตือนภัย อันตรายจากขนมปัง
1. กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่นๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก
2. กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง
3. กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก
4. กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่างๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูงยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมาก
5. กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน
นอกจากขนมกรุบกรอบแล้ว ยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควรได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน
อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกขนมกรุบกรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภทแป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานและโรคหัวใจ
อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลินเป็นผลจากความอ้วนและมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
‘ฟักทอง’ เปี่ยมประโยชน์
เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้
เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
ฟักทองอาหารเพื่อคุณผู้หญิง
และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาวๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก
นอกจากนี้สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย
ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เ
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เห็ดต้านโรค
เห็ดนางฟ้า
เห็นชนิดนี้สามารถเพาะได้บนขอนไม้ผุและขี้เลื่อยที่มีความชื้นสูง เมื่อนำมาปรุงอาหารจะให้รสค่อนข้างอ่อน และไม่ค่อยมีกลิ่น จึงเหมาะกับผู้ที่เริ่มหันมากินเห็ด เพราะหลายคนมีปัญหาในการกินเห็ดบางชนิดที่มีกิล่นและรสเฉพาะตัว เห็ดชนิดนี้มีปริมาณโปรตีนและเส้นใยอาหารสูงจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นหรือหลังผ่าตัด จุดเด่นอีกข้อหนึ่งคือ ช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงเป็นขวัญใจของผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดเปราะและมีไขมันในเลือดสูง
เห็ดหูหนู
เป็นเห็ดที่มีรสอ่อนแต่โดดเด่นด้วยความลื่น และเคี้ยวแล้วรู้สึกกรุบกรอบนิดๆ คล้ายสาหร่ายทะเล มีสาร "อะดีโนซีน" ซึ่งมีคุณสมบัติลดความข้นเหนียวของเลือดเหมือนที่พบในกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ลดความเสี่ยงของภาวะเส้นเลือดอุดตันตามหลอดเลือดสมองและหัวใจ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่สูงอายุและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว
เห็ดชิตาเกะ
เห็ดชนิดนี้เติบโตได้ดีบนขอนไม้ที่ได้จากไม้เนื้อแข็ง คุณสมบัติเด่นคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ เพราะในเห็ดชิตาเกะมีสารที่เป็นประโยชน์ในการต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้สาวๆ ที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณไม่ควรพลาด เนื่องจากเห็ดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้
เห็ดไมตาเกะ
รู้จักกันในฉายา "แม่ไก่แห่งป่า" เนื่องจากเห็ดชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายขนนกสีน้ำตาลรวมกันเป็นกลุ่มขนาดย่อมๆ เจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นหากต้องการกินเห็ดที่สดใหม่จึงต้องรอช่วงปลายปี นอกเหนือจากนั้นจะเป็นเห็ดที่แช่เย็นเอาไว้ คุณค่าที่ได้ก็จะลดลงไปตามส่วน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง หรือเนื้องอก เนื่องจากมีสารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความดันโลหิตและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ
จานอร่อย : ด้วยกลิ่นและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ของเห็ดไมตาเกะ เราขอแนะนำให้ปรุงเป็นอาหารนึ่งไอน้ำ เช่น ตุ๋นกับเต้าหู้ถั่วเหลืองชนิดอ่อน ปรุงรสเล็กน้อยด้วยเต้าเจี้ยว เพิ่มความหอมด้วยขึ้นฉ่ายต้นหอม และขิงหั่นฝอย กินเป็นอาหารเช้ากับข้าวสวยร้อนๆ
เห็ดกระดุม
เห็ดยอดนิยมที่พ่อครัวทั่วโลกนำมาปรุงเป็นอาหารขึ้นโต๊ะอยู่เป็นประจำ ที่คุ้นเคยมากที่สุดคือนำมาปรุงเป็นเครื่องโรยหน้าพิซซ่าของโปรดของใครหลายคน เห็ดชนิดนี้มีสีขาวและมีรสอ่อนย่อยง่าย เหมาะกับผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกข้อหนึ่งคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันป้องกันการเกิดเนื้อร้าย
จานอร่อย : นอกจากนำมาโรยปรุงเป็นหน้าพิซซ่าได้แล้ว เห็ดกระดุมยังเหมาะกับการนำมาปรุงในอาหารจำพวกผัดที่ใช้ไฟแรงเลือกผักที่คุณชอบ เช่น แครอท พริกหวาน กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ หั่นเป็นชิ้นพอคำพักไว้ก่อน นำกระทะมาตั้งไฟใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เห็ดกระดุมหั่นบางๆ ผัดกับกระเทียมให้หอม จากนั้นใส่ผักที่เตรียมไว้ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองและซีอิ๊วขาว
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
แอปเปิ้ลหลากสีต้านโรค
แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ "Red delicious" ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพ คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ
แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอปเปิ้ลพันธุ์ "Fuji" นั้น มีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย
แอปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอปเปิ้ล ที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ "Golden Delicious" มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
‘ฟักทอง’ เปี่ยมประโยชน์
เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้
เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เลือกที่นอนเหมาะกับวัย
นพ.ยอดรัก ประเสริฐศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพให้ความรู้ว่า การเลือกที่นอนสำหรับเด็กจะเลือกที่นอนแบบใดก็ได้ เพราะกล้ามเนื้อยังแข็งแรงอยู่ส่วนวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคกระดูก วิธีการเลือกอาจไม่แตกต่างกับวัยเด็กเท่าใดนัก แต่การเลือกที่นอนที่ถูกต้องก็คือ ไม่ควรเลือกที่นิ่มเกินไปและแข็งจนเกินไป ควรเลือกที่มีความแน่นกำลังดีนอนแล้วสบายตัวตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้สึกปวดเมื่อย
สำหรับในผู้สูงอายุต้องเน้นมากเป็นพิเศษ เพราะเวลาอายุมากขึ้นกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมและยิ่งนอนที่นอนไม่ดี ก็จะยิ่งทำให้ปวดหลังมากขึ้น สมัยก่อนผู้สูงอายุมักบอกว่านอนที่นอนแข็งๆ แล้วหายปวดหลัง แต่อาจจะกลายเป็นว่า ไปปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อจุดอื่นๆ แทน สำหรับที่นอนที่นิ่มเกินไปนั้นก็มีผลเสียด้วยเช่นกัน เพราะเวลาเราพลิกตัวจะทำให้กล้ามเนื้อฝั่งตรงข้ามออกแรงต้านมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นและส่งผลทำให้มีอาการปวดหลัง
อย่างไรก็ตามถ้าเราเลือกที่นอนไม่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกายแล้วจะมีผลกระทบคือ จากการที่กระดูกไม่ดีอยู่แล้วก็จะยิ่งเป็นการ เร่งให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บมากขึ้น มีอาการปวดหลังเรื้อรัง นอนหลับไม่สบายจนกระทั่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงตามลำดับ
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สมุนไพรใกล้ตัว ลองกอง
ชื่อสามัญ : Longkong
ชื่อท้องถิ่นทุกๆภาคเรียกเหมือนกัน ว่าลองกอง ยกเว้นแถบมลายู และ จ.นราธิวาส เรียก ดูกู หรือโดกอง จ.นครศรีธรรมราช เรียก ลังสาดเขา
ลองกองเป็นไม้ตระกูลเดียวกับลางสาด ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นไม้ทรงพุ่มลำต้นสีน้ำตาลเขียว ใบรูปร่างยาวรี ผิวใบมัน ออกดอกเป็นช่อตามกิ่ง ผลทรงกลม ผิวเปลือกนอกของผิวลองกองหนาหยาบและผลเกาะแน่นกว่าลางสาด รวมถึงมียางน้อยหรือไม่มียางเลย ผิดกับลางสาดที่มียางมาก เนื้อในลองกองจะเป็นกลีบๆ สีขาวใส แห้ง รสหวาน ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี เป็นต้น จะออกผลในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม
ประโยชน์ในตำรายาไทย
การรับประทานลองกอง จะช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคหวัด และโรคเลือดออกตามไรฟัน เปลือกผลแห้งเอาไปเผาไล่ยุงได้ เปลือกและเม็ด มีส่วนประกอบของสารเคมี essential oil, lansic acid และ lansionic acid ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งมีความสำคัญทางการแพทย์และอุตสาหกรรม ผิวเปลือก มีรสขม มีสารแทนนิน (tannin) เป็นจำนวนมาก เปลือกของต้นและใบ ต้นเป็นยารักษาโรคบิด กิ่งต้นดื่มรักษาโรคกระเพาะ
ลองกองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าแถบมลายู อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และตอนใต้ของประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553
10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553
รู้จักกันไหม...เบาจืด
ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืดที่พบบ่อย คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ
การวินิจฉัยโรคเบาจืด
แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง
การดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืด
นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง
ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เทศกาลกินเจ
แค
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
ฝนตกทำไมต้องเป็นหวัด
โรคหวัด หรือเรียกอีกอย่างว่าโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ที่กระจายอยู่เป็นร้อยๆ ชนิดในอากาศ ทุกวันเราต้องสัมผัสกับเจ้าไวรัสพวกนี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากร่างกายของเรามีภูมิต้านทาน และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถทำอะไรเราได้
แต่ถ้าวันไหนท้องฟ้ามืดครึ้ม มีลมแรง พัดไวรัสให้ฟุ้งกระจาย และเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนที่ฝนใกล้จะตก โอกาสที่จะสัมผัสไวรัสก็มีมากขึ้น หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น คือ เราตากฝน ทำให้ศีรษะเปียกชื้น จะทำให้อุณหภูมิที่บริเวณเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้ทำให้เราเป็นหวัดนั่นเอง หรือบางทีถ้าเท้าเราต้องแช่อยู่ในน้ำนานๆ หรือเปียกน้ำ อุณหภูมิในเยื่อบุจมูกลดต่ำลง ก็นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้เช่นกัน
ฉะนั้นเรามาทราบวิธีป้องกันไม่ให้เราเป็นหวัดเวลาที่ศีรษะเปียกฝนกันดีกว่า
1.อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะก่อนฝนตก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกกันไว้
2.หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งทันที แต่ถ้าจะให้ดีอาบน้ำสระผมไปเลย จากนั้นรีบเช็ดและเป่าให้แห้งโดยเร็ว เพื่อทำให้อุณหภูมิเปลี่ยน และเจ้าเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวได้ลำบาก
3.แช่เท้าในน้ำอุ่นหรือรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น
4.รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล หรือรับประทานวิตามินซีเม็ด เพื่อช่วยเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป
ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้าร่างกายเราแข็งแรงซะอย่างโรคไหนก็ไม่มีทางมากล้ำกรายได้เด็ดขาด
วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553
อาการปากแห้งคืออะไร
ปากของทุกคนสามารถมีอาการแห้งได้เป็นครั้งคราว แต่จะเป็นปัญหาเมื่อคุณรู้สึกว่าอาการปากแห้งไม่หายไป อาการบางอย่างของอาการปากแห้งมี ดังนี้:
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553
เดือน ' ทั้ง 12
ตั้งแต่ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน...ไปจนถึงธันวาคม
วันนี้มาแก้ปัญหาให้แล้ว ว ว !!!
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงคิดตั้งชื่อเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยทรงใช้ตำราจักรราศี หรือการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี ประกอบด้วย 12 ราศี ตามวิชาโหราศาสตร์มาใช้กำหนดชื่อเดือนทั้ง 12 เดือน
โดยแบ่งเดือนที่มี 30 วัน และเดือนที่มี 31 วัน ให้ชัดเจน ด้วยการลงท้ายเดือนต่างกัน คือ คำว่า "ยน" และ "คม" ส่วนคำนำหน้านั้นมาจากชื่อราศีที่ปรากฏในช่วงเวลานั้นๆ เป็นวิธีนำคำ 2 คำมา "สมาส" กัน คำต้นเป็นชื่อราศี คำหลังคือคำว่า "อาคม" และ "อายน" แปลว่า "การมาถึง" เริ่มตั้งแต่
● มกราคม ---> มกร (มังกร) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมังกร
● กุมภาพันธ์ ---> กุมภ์ (หม้อ) + อาพนธ แปลว่า การมาถึงของราศีกุมภ์
● มีนาคม ---> มีน (ปลา) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมีน
● เมษายน ---> เมษ (แกะ) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีเมษ
● พฤษภาคม ---> พฤษภ (วัว,โค) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีพฤษภ
● มิถุนายน ---> มิถุน (ชายหญิงคู่) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีมิถุน
● กรกฎาคม ---> กรกฎ (ปู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีกรกฎ
● สิงหาคม ---> สิงห (สิงห์) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีสิงห
● กันยายน ---> กันย (สาวพรหมจารี) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีกันย
● ตุลาคม ---> ตุล (ตาชั่ง ตราชู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีตุล
● พฤศจิกายน ---> พิจิก , พฤศจิก (แมงป่อง) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีพิจิก
● ธันวาคม ---> ธนู (ธนู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีธนู
นั่นก็คือ ที่มาของชื่อ ' เดือน ' ในประเทศไทย
ส่วนชื่อ ' เดือน ' ของฝรั่งล่ะ มีที่มาอย่างไร??
ชื่อเดือนของฝรั่งนั้น มีชื่อมาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มาจากชื่อของเทพเจ้า แต่มักจะมาจากตัวเลขลำดับที่ของแต่ละเดือนในภาษาโรมัน
● January (มกราคม)
--> เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Janus ของชาวโรมันโบราณ จึงเรียกเดือนนี้ว่า "Januarius"
● February (กุมภาพันธ์)
--> เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Februus ของชาวอิตาเลียนโบราณ บางครั้งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Februa" เป็นเดือนที่มีเทศกาลเฉลิมฉลองกรุงโรม
● March (มีนาคม)
--> เป็นชื่อเดือนแรกของชาวโรมัน โดยใช้ชื่อของเทพเจ้าสงครามแห่งดาวอังคาร (the war-god Mars)
● April (เมษายน)
--> ชื่อเดือนมาจากคำว่า "Aprilis" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Aperire" หมายถึง "เปิด" (To open) ซึ่งอาจมาจาก "ดวงอาทิตย์"
● May (พฤษภาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 3 ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือนอาจมาจากชื่อของเทพธิดา Maiesta ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความเกียรติยศ และชื่อเสียง
● June (มิถุนายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 4 ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือนเป็นชื่อเทพเจ้า Juno
● July (กรกฎาคม)
--> เป็นเดือนที่กษัตริย์ Julius Ceasar ประสูติ โดยตั้งชื่อเดือนนี้เป็นเกียรติแก่พระองค์ เมื่อปี ค.ศ.44 ซึ่งเป็นเดือนที่ถูกลอบปลงพระชนม์ และเรียกชื่อเดือนนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "Quintilis" หมายถึง " เดือนลำดับที่ 5" (the fifth month)
● August (สิงหาคม)
--> ชื่อเดือนเดิมเรียกว่า "Sextilis" มาจากคำว่า "Sexus" แปลว่า "หก" (Six) แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชื่อ Augustus เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์องค์แรกของชาวโรมัน
● September (กันยายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 7 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Septem" แปลว่า "เจ็ด" (Seven)
● October (ตุลาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 8 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Octo" แปลว่า "แปด" (Eight)
● November (พฤศจิกายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 9 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Novem" แปลว่า "เก้า" (Nine)
● December (ธันวาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 10 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Decem" แปลว่า "สิบ" (Ten)
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คัดเค้า : ไม้หอม แก้ฝี
คัดเค้าถือเป็นไม้ดอกหอม ดอกมีสีขาว ออกดอกเป็นช่อสั้นตามง่ามใบและปลายกิ่ง ลำต้นจะมีหนาม ซึ่งชาวบ้านมักนิยมปลูกคัดเค้าไว้ริมรั้วด้วยความเชื่อว่า คัดเค้าจะช่วยกันผี(หรือช่วยกันขโมยด้วยก็ได้) กลิ่นคัดเค้าจะหอมชนิดที่สามารถเป็นน้ำหอมได้เลยทีเดียว
รากของคัดเค้ายังนิยมใช้ต้มกินแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ไข้ แก้ท้องเสีย และนิยมฝนกับน้ำซาวข้าวรักษาฝี รักษาแผลทั่วไปโดยเฉพาะแผลสุนัขกัด หมอยาพื้นบ้านท่านหนึ่งเล่าว่า การใช้รากคัดเค้าฝนกับเขี้ยวเสือรักษาแผลที่ถูกสุนัขกัด จะช่วยรักษาแผลนั้นให้หาย และมีความเชื่อว่าจะทำให้สุนัขตัวที่กัดนั้นถึงแก่ความตาย "มันแพ้กันหมากับเสือ"หมอยาท่านนั้นกล่าว
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"ดอกมะลิ" สัญลักษณ์แทนใจวันแม่
ด้วย เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
พลูคาว..ต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน
คนทางเหนือนิยมกิน พลูคาวเป็นผักแกล้มลาบอย่างหนึ่ง ลาบของคนทางเหนือเป็นลาบเนื้อดิบจะเป็นเนื้อหมู วัว ควาย ก็ได้ ใส่เลือดสดๆ ไม่เหมือนลาบอีสาน การทำลาบของชาวเหนือ เช่นลาบหมู เขาจะเอาเนื้อหมูมาสับละเอียดจนเนื้อเหนียวติดมีด คลุกกับเครื่องเทศสมุนไพร สัก 32 ชนิด จากนั้นใส่เลือดสดลงไปแล้วปรุงรส คนทางเหนือเชื่อว่าพลูคาวสามารถฆ่าพยาธิหรือเชื้อโรคได้ จึงนิยมเอามาแกล้มกับลาบที่กินดิบๆ ซึ่งอาจจะมีจุลินทรีย์อยู่ เป็นการป้องกันอาการทางท้อง
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553
พระพิฆเนศ
พระพิฆนเศวรเป็นเทพที่มีผู้คนนับถือและเคารพมากที่สุดเนื่องจากเป็นเทพที่มีพระกรุณาเป็นหนึ่งในเทพทั้งหมดและถือกันว่าเป็นปฐมเทพที่จะได้รับการบูชาก่อนเริ่มพิธีกรรมต่างๆเนื่องจากได้รับพรจากศิวเทพเพราะความเฉลียวฉลาด และเป็นเทพที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ พระพิฆเนศวรเป็นเทพที่มีพระวรกายแตกต่างจากเทพอื่นๆทั้งหมดตามที่เราเห็นว่ามีพระวรกายเป็นมนุษย์แต่มีพระพักตร์เป็นคชสาร
ประวัติพระพิฆเนศวร
ในคราวที่พระศิวะเทพทรงไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระแม่ปารวตีเนื่องจากอยู่องค์เดียวเลยเกิดความเหงาและประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามาก่อความวุ่นวายในพระตำหนักในจึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่องค์ศิวเทพเสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงในพระตำหนักด้านในนั้นองค์ศิวเทพได้กลับมาและเมื่อจะเข้าไปด้านในก็ถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันศิวเทพก็ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นพระโอรสที่พระแม่ปารวตีได้เสกขึ้นมา เมื่อพระองค์ถูกขัดใจก็ทรงพิโรธและตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใครเพราะตนกำลังทำตามบัญชาของพระแม่ปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของมหาเทพจนสิ้นใจและศีรษะก็ถูกตัดหายไป
ในขณะนั้นเองพระแม่ปารวตีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาลก็เสด็จออกมาด้านนอกและถึงกับสิ้นสติเมื่อเห็นร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อได้สติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง
เมื่อได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นองค์มหาเทพก็ทรงตรัสว่าจะทำให้เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหา เนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งกระวนกระวายใจเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้เมื่อเห็น เช่นนั้นพระศิวะเลยบัญชาให้เทพที่มาช่วยให้เอาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรก ที่พบมาและปรากฎว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อให้และชุบชีวิตให้ใหม่พร้อมยกย่อง ให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า พระพิฆเนศวร ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังทรงให้พรว่าในการประกอบพิธีการต่างๆทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศวรก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น
ความสำคัญแต่ละส่วนของพระวรกาย
เนื่องจากพระพิฆเนศวรมีพระวรกายที่ไม่เหมือนเทพอื่นๆนั้น ได้มีการอธิบายถึงพระวรกายของพะองค์ท่านดังนี้
1. พระเศียรของท่านหมายถึงวิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิต
2. พระวรกายแสดงถึงการที่เป็นมนุษย์ที่อยู่บนพื้นปฐพี
3. ศีรษะช้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด
4. เสียงดังที่เปล่งออกมาจากงวงหมายถึงคำว่า โอม ซึ่งเป็นเสียงแสดงถึงความเป็นสัจจะของสุริยจักรวาล
5. หระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศน์ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะและหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง
6. พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก
7. มือขวาล่างทรงงาที่หักครึ่งซึ่งพระองค์ทรงใช้เป็นปากกาในการเขียนมหากาพย์มหาภารตะให้มหาฤษี
เวทวยาสมุนีและเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเสียสละ
8. อีกมือทรงลูกประคำที่แสดงว่าการแสวงหาความรู้จะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
9.ขนมโมณฑกะหรือขนมหวานลัดดูในงวงเป็นการชี้นำว่ามนุษย์จะต้องแสวงหาความหวานชื่นในจิตวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะได้มีจิตเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆ
10. หูที่กว้างใหญ่เหมือนใบพัดหมายความว่าท่านพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เราร้องเรียนและเรียกหา
11. งูที่พันอยู่รอบท้องท่านแสดงถึงพลังที่มีอยู่โดยรอบ
12. หนูที่ทรงใช้เป็นพาหนะแสดงถึงความไม่ถือองค์และพร้อมที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่เล็กและเป็นที่รังเกียจของมนุษย์ส่วนมาก
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
"มะเขือยาว" อร่อยมีสรรพคุณ
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนแก้ไขปัญหาด้วยการปลูกพืชผักกินได้ชนิดปลูกง่ายโตไวลงกระถางตั้งใน บริเวณบ้านไว้เก็บกินเอง เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา โหระพา มะเขือเทศ สามารถแก้ไขได้ระดับหนึ่ง ซึ่ง "มะเขือยาว" เป็นพืชผักกินได้ ที่นอกจากปลูกเก็บผลรับประทานในครัวเรือนได้แล้ว บางส่วนของ "มะเขือยาว" ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย จึงแนะนำให้ปลูกเสริมเพื่อเก็บผลกินในบ้านอีกชนิดหนึ่ง
มะเขือยาว หรือ SO-LANUM MELONGENA LINN. อยู่ในวงศ์ SOLA-NACEAE เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น กิ่งอ่อนมักมีขนละเอียดปกคลุมทั่วและมีหนามเล็กสั้นประปราย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น ท้องใบมีขนนุ่ม ผิวใบสีเขียวสด
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแหลม ดอกเป็นสีม่วง กลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อันอยู่ติดกับกลีบดอก ก้านเกสรและอับเกสรเป็นสีเหลือง "ผล" รูปกลมยาว มี 2 ชนิดพันธุ์คือ พันธุ์ที่ผลเป็นสีเขียว กับ พันธุ์ที่ผลเป็นสีม่วง ผิวผลเรียบเกลี้ยงและเป็นมัน ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่ เวลาติดผลดกและผลยาวห้อยลงจะดูสวยงามทั้งสีเขียวและสีม่วง ติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปัจจุบัน "มะเขือยาว" มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 15 แผง "คุณปืด" ราคาสอบถามกันเอง
ประโยชน์ทางสมุนไพร ลำต้นและราก แก้บิดเรื้อรัง อุจจาระเป็นเลือด แผลเน่าเปื่อยอักเสบ ใบ แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคหนองใน พอกแผลบวมเป็นหนอง ผลแห้ง ทำเป็นยาเม็ดกินแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ ผลสด ตำพอกแผลอักเสบมีหนอง ขั้วผลแห้ง เผาเป็นเถ้าบดให้ละเอียดกินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้ครับ
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สบู่ฆ่าเชื้อโรคจำเป็นจริงหรือ
อย่างที่รู้ว่าโลกเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรค พอเห็นโฆษณาว่ามี "สบู่ฆ่าเชื้อโรค" ช่วยปกป้องผิวจากแบคทีเรียได้นานเป็นพิเศษ เราก็นึกอยากซื้อมาใช้แทบจะทันที จริงๆแล้ว...สบู่ฆ่าเชื้อโรค อย่างที่ว่ามันจำเป็นและดีจริงๆหรือ
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
การศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย
จากผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?
สำหรับประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
น้ำมะพร้าว... มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรหรือไม่
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553
5 วิธีทานของปิ้งย่างแบบไม่เสียสุขภาพ
เพิ่มผักตระกูลผักกาดลงไป เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักประเภทนี้จะอุดมไปด้วย sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของดีเอ็นเอ เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานกะหล่ำดาววันละประมาณสองถ้วยครึ่งทุกวัน สามารถช่วยลดความเสียหายของดีเอ็นเอในร่างกายได้
จุ่มเนื้อด้วยน้ำซอสขณะย่าง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณของสารก่อมะเร็งลงได้ร้อยละ 92 – 99 การศึกษาวิจัยพบว่าน้ำซอสที่มีส่วนผสมของไวน์หรือเบียร์ช่วยลดสารก่อมะเร็งลงได้ ทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
เปลี่ยนจากเนื้อเป็นปลา อาหารทะเลจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งน้อยกว่าเนื้อสัตว์ เพราะมีกรดอะมิโนน้อยกว่าและใช้เวลาในการปิ้งย่างน้อยกว่า
ลดไขมันลง หากคุณชอบเนื้อสัตว์มากกว่าอาหารประเภทปลา ลดการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ลงด้วยการนำหนังไก่ออกก่อนย่าง เพราะหนังไก่ หรือเนื้อขาวจะทำให้เกิดการปะทุของไฟขณะย่าง ซึ่งเป็นตัวการของมะเร็งนอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของมะเร็งเต้านม