วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้อาการอ่อนเพลีย หลังเดินทาง

เคยเกิดอาการแบบนี้กันไหมคะ ที่เวลาเดินทางท่องเที่ยวจะสนุกสนาน ตื่นเต้นกับสิ่งรอบข้างและประสบการณ์ใหม่ๆ ลืมความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากันไปเลย แต่หลังจากกลับมาจากการเดินทางแล้ว ร่างกายจะขาดสมดุล รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง จิตใจไม่แจ่มใส บางคนอาจจะปวดศีรษะ หรือไม่สบายไปเลยก็มี ดังนั้น เรามีวิธีทำให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นได้หลังจากการเดินทาง

ดื่มน้ำผลไม้ ผลไม้มีประโยชน์ในทุกสถานการณ์จริงๆนะคะ เพราะเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง วิธีที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายนั้นก็คือ การดื่มน้ำผลไม้ประเภทสมูทตี้ (Smoothie) คือการใช้ผลไม้สดทั้งผลปั่นแบบไม่กรองกาก เช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุล (rebalance) ได้เร็วขึ้น

รับประทานอาหารแต่เช้า ร่างกายคนเรามีระดับการเผาผลาญอาหารสูงสุดในช่วงเที่ยงวันค่ะ อาหารที่ดีคือ อาหารที่รับประทานแต่เช้า (คือภายในชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน) ควรรับประทานมื้อเช้าและมื้อเที่ยงเป็น "มื้อหลัก" โดยให้หนักไปทางโปรตีนและไขมัน ส่วนอาหารมื้อเย็นควรเป็นมื้อเล็กหน่อย หนักไปทางคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสีที่มีคุณค่าสูง อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย หลับสบาย และช่วยล้างพิษในช่วงที่เราหลับอยู่

หลับอย่างไรให้สนิท ช่วงหลังกลับมาจากเดินทางบางคนอาจจะมีอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนเวลา อากาศ และสภาพแวดล้อม ดังนั้น ควรหาวิธีช่วยให้หลับสนิท โดยการดื่มนมอุ่นๆ เพราะนมมีกรดอะมิโนที่ช่วยในการนอนหลับ นอกจากนั้น ห้องนอนก็ควรมืดสนิทและเงียบ หลีกเลี่ยงการตั้งนาฬิกาปลุกในช่วง 45-120 นาทีแรก เพราะเป็นช่วงที่เรากำลังหลับลึก ถ้าตื่นในช่วงนี้จะทำให้เราเวียนศีรษะและไม่สดใสนะ

หายใจให้เป็น ทำการฝึกหายใจแบบสบายๆ วิธีการฝึกทำได้โดยการหาที่นั่งเงียบๆ สัก 5 นาที นั่งหลังไม่งอและไม่เกร็ง วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกเบาๆ วางอีกข้างไว้ที่หน้าท้องเบาๆ หายใจเข้าและหายใจออกอย่างช้าๆ พร้อมกันนี้ ให้ทำความรู้สึกว่า "หายใจเข้า…ฉันผ่อนคลาย" "หายใจออก…ฉันผ่อนคลาย" ช่วยคลายกล้ามเนื้อสมอง ลดความเครียดลง และผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มือ...อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

มือของเราเป็นอวัยวะสำคัญ เราใช้มือหยิบจับตั้งแต่สิ่งสกปรกมากที่สุดถึงหยิบจับสิ่งที่สะอาดมากที่สุด เช่น สัมผัสสิ่งสกปรก แคะจมูก หยิบจับอาหารใส่ปาก เป็นต้น ในแต่ละวันเราใช้มือทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย จนอาจลืมนึกถึงว่ามือเราสะอาดแค่ไหน หากเราสามารถมองเห็นเชื้อโรคด้วยตาเปล่า เราส่องดูมือจะเห็นว่ามือที่คิดว่าสะอาดแล้ว ยังมีสิ่งสกปรกมากมาย ติดอยู่ตามนิ้ว โดยเฉพาะบริเวณตามนิ้วมือ และตามซอกนิ้ว มือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ หวัด วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด หัดเยอรมัน โรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อุจจาระร่วง บิด ตับอักเสบชนิดเอ โรคพยาธิต่างๆ และโรคติดต่ออื่นๆ ได้แก่ โรคตาแดง โรคเริม หัด โรคเชื้อรา เป็นต้น

เราจึงควรล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ประหยัด และทำได้ด้วยตนเอง ดังนี้

1. ทำมือให้ เปียกด้วยน้ำ

2. ล้างมือด้วยสบู่ หรือสบู่เหลว

3. ล้างมือให้ทั่วถึงทุกจุดของมือ ปลายนิ้วมือ และซอกนิ้ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป

การล้างมือมี 7 ขั้นตอน ดังนี้

1. ฝ่ามือถูฝ่ามือ

2. ฝ่ามือถูหลังมือ และนิ้วถูซอกนิ้,

3. ฝ่ามือถูฝ่ามือ และนิ้วถูซอกนิ้ว

4. หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ

5. ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบ ด้วยฝ่ามือ

6. ปลายนิ้วถูขวางฝ่ามือ

7. ถูรอบข้อมือ ทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง และทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง (มือซ้ายและมือขวา) จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง ควรฝึกล้างมือให้เป็นนิสัย โดยล้างมือทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร หลังการขับถ่าย ก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย หลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง และหลังเสร็จกิจกรรมที่ทำให้มือสกปรก

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งดอาหารเช้าบ่อยเสี่ยงโรคหัวใจ

นักวิจัยบอกว่า การออกจากบ้านทั้งที่ท้องยังว่างทำให้เป็นโรคอ้วน มีไขมันสะสมบริเวณท้อง และมีคอเลสเตอรอลสูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังทำให้มีระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน

คนที่มีความเสี่ยงเหล่านี้มากที่สุดคือ ผู้ใหญ่รายที่มักไม่ทานอาหารเช้าเมื่อสมัยยังเด็ก และยังคงทำเช่นนี้มาตลอดเมื่อโตขึ้น แม้ผลวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า อาหารเช้าส่งผลดีต่อหัวใจ แต่งานชิ้นนี้เป็นครั้งแรกที่ติดตามผลเสียในระยะยาว งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีอายุถึงช่วง 20 ปลายๆ คนที่ไม่ค่อยทานอาหารเช้าเมื่อตอนเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ
นักวิทยาศาสตร์คิดว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนเหล่านี้มีแนวโน้มจะกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง และไม่ค่อยออกกำลังกาย รวมทั้งได้รับใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณน้อย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ซึ่งติดตามศึกษาอาสาสมัคร 2,184 คนในช่วงเวลา 20 ปี พบว่า การงดอาหารเช้าจะทำให้ลักษณะการสะสมไขมันของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และคนเหล่านี้มักทานอาหารไม่ตรงเวลา

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ

“พ่อ” ไม่เพียงแต่จะหมายถึงชายในฐานะผู้ให้กำเนิดแก่ลูก หรือเป็นคำที่ลูกเรียกผู้ให้กำเนิดตนเท่านั้น แต่คำ ๆ นี้ยังรวมถึงภาระความรับผิดชอบที่ผู้ชายคนหนึ่งๆ จะพึงมีในฐานะหัวหน้าหรือผู้นำของครอบครัวอีกด้วย

วันพ่อแต่ละปีที่ผ่านไป คุณให้ความสำคัญกับท่านแค่ไหน อย่ามองข้ามความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นะครับ หาการ์ดให้คุณพ่อหรือบอกรักท่าน อยากให้เพื่อนๆ รักคุณพ่อมากขึ้นทุกลมหายใจ

เป็นสองมืออุ้มชูเลี้ยงดูลูก เป็นสายใย พันผูก คอยห่วงหา
เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร
ามเจ็บไข้เฝ้าดูแลด้วยชีวิต ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน
ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยน
ด้วยความรักของพ่อที่ยิ่งใหญ่ ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้
ด้วยชีวิต พื่อลูก .. เฝ้าดูแล ด้วยสองมือไม่ผันแปร

บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา
ตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว

พุทธรักษามีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์

พืชในวงศ์ CANNACEAE

ชื่อสามัญ Butsarana

ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก

เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้น มีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคล

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัย อันตรายจากขนมปัง


ขนมและอาหารว่างประมาณ 700 ตัวอย่างมาวิเคราะห์จากฉลากโภชนาการและส่วนประกอบเพื่อให้ทราบ คุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีเพียง 10% ของขนมทั้งหมด ที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการ แต่ก็ไม่ได้ผ่านทั้งหมด เพราะใน 10% นั้นบางอย่างก็เค็มเกินไปหวานเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่นๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก
2. กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง
3. กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก
4. กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่างๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูงยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมาก
5. กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน

นอกจากขนมกรุบกรอบแล้ว ยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควรได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกขนมกรุบกรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภทแป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานและโรคหัวใจ

อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลินเป็นผลจากความอ้วนและมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

‘ฟักทอง’ เปี่ยมประโยชน์

ฟักทองเป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบนๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางยามากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

ฟักทองอาหารเพื่อคุณผู้หญิง
และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาวๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เ

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เห็ดต้านโรค

คุณสมบัติที่ดีเลิศด้านโภชนาการไม่ว่าจะเป็นแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ รสชาติที่หลากหลายมีสารประกอบที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เห็ดเป็นวัตถุดิบที่คนรักสุขภาพหลายคนติดใจ วันนี้เราลองไปทำความรู้จักกับเห็ดเพิ่มเติม เพื่อจัดเป็นเมนูอร่อยเปี่ยมคุณค่า

เห็ดนางฟ้า
เห็นชนิดนี้สามารถเพาะได้บนขอนไม้ผุและขี้เลื่อยที่มีความชื้นสูง เมื่อนำมาปรุงอาหารจะให้รสค่อนข้างอ่อน และไม่ค่อยมีกลิ่น จึงเหมาะกับผู้ที่เริ่มหันมากินเห็ด เพราะหลายคนมีปัญหาในการกินเห็ดบางชนิดที่มีกิล่นและรสเฉพาะตัว เห็ดชนิดนี้มีปริมาณโปรตีนและเส้นใยอาหารสูงจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นหรือหลังผ่าตัด จุดเด่นอีกข้อหนึ่งคือ ช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงเป็นขวัญใจของผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดเปราะและมีไขมันในเลือดสูง
จานอร่อย : นำเห็ดนางฟ้ามาฉีกเป็นเส้นยาวๆ ลวกน้ำร้อนให้สุกพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ นำมายำด้วยการคลุกกับน้ำยำที่ปรุงจากน้ำมะนาว พริกสด น้ำปลา และน้ำตาลเล็กน้อย ใส่ผักสด เช่น หอมหัวใหญ่ ต้นหอม สะระแหน่ มะเขือเทศ ตักใส่จานรองด้วย ผักกาดหอม ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้นสามารถเพิ่มเห็ดชนิดอื่นๆ ได้

เห็ดหูหนู
เป็นเห็ดที่มีรสอ่อนแต่โดดเด่นด้วยความลื่น และเคี้ยวแล้วรู้สึกกรุบกรอบนิดๆ คล้ายสาหร่ายทะเล มีสาร "อะดีโนซีน" ซึ่งมีคุณสมบัติลดความข้นเหนียวของเลือดเหมือนที่พบในกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ลดความเสี่ยงของภาวะเส้นเลือดอุดตันตามหลอดเลือดสมองและหัวใจ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่สูงอายุและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว

จานอร่อย : ขอแนะนำก๋วยเตี๋ยวสารพัดเห็ดค่ะ วิธีการก็ง่ายนิดเดียว เพียงลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก เต้าหู้ เห็ดหูหนู และเห็ดอื่นๆ ที่คุณชอบอีก 2-3 ชนิด ตักใส่ชามปรุงรสตามชอบ เติมพริกไทย ต้นหอม ผักชี และกระเทียมเจียวโรยหน้าเล็กน้อย สุดท้ายเติมน้ำซุปเท่านี้ก็เรียบร้อย

เห็ดชิตาเกะ
เห็ดชนิดนี้เติบโตได้ดีบนขอนไม้ที่ได้จากไม้เนื้อแข็ง คุณสมบัติเด่นคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ เพราะในเห็ดชิตาเกะมีสารที่เป็นประโยชน์ในการต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้สาวๆ ที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณไม่ควรพลาด เนื่องจากเห็ดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้

จานอร่อย : เห็ดซิตาเกะ เมื่อนำไปต้มน้ำซุปจะให้รสหวานอ่อนๆ เข้ากันได้ดีกับฟักเขียวหรือหัวไชเท้าและไก่ อย่าลืมเพิ่มเก๋ากี้ สมุนไพรจีนเม็ดแห้งสีแดง ที่มีสรรพคุณบำรุงสายตา บำรุงไต บำรุงปอด แก้อ่อนเพลียได้อีกด้วย

เห็ดไมตาเกะ
รู้จักกันในฉายา "แม่ไก่แห่งป่า" เนื่องจากเห็ดชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายขนนกสีน้ำตาลรวมกันเป็นกลุ่มขนาดย่อมๆ เจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นหากต้องการกินเห็ดที่สดใหม่จึงต้องรอช่วงปลายปี นอกเหนือจากนั้นจะเป็นเห็ดที่แช่เย็นเอาไว้ คุณค่าที่ได้ก็จะลดลงไปตามส่วน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง หรือเนื้องอก เนื่องจากมีสารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความดันโลหิตและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ


จานอร่อย : ด้วยกลิ่นและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ของเห็ดไมตาเกะ เราขอแนะนำให้ปรุงเป็นอาหารนึ่งไอน้ำ เช่น ตุ๋นกับเต้าหู้ถั่วเหลืองชนิดอ่อน ปรุงรสเล็กน้อยด้วยเต้าเจี้ยว เพิ่มความหอมด้วยขึ้นฉ่ายต้นหอม และขิงหั่นฝอย กินเป็นอาหารเช้ากับข้าวสวยร้อนๆ


เห็ดกระดุม
เห็ดยอดนิยมที่พ่อครัวทั่วโลกนำมาปรุงเป็นอาหารขึ้นโต๊ะอยู่เป็นประจำ ที่คุ้นเคยมากที่สุดคือนำมาปรุงเป็นเครื่องโรยหน้าพิซซ่าของโปรดของใครหลายคน เห็ดชนิดนี้มีสีขาวและมีรสอ่อนย่อยง่าย เหมาะกับผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกข้อหนึ่งคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันป้องกันการเกิดเนื้อร้าย

จานอร่อย : นอกจากนำมาโรยปรุงเป็นหน้าพิซซ่าได้แล้ว เห็ดกระดุมยังเหมาะกับการนำมาปรุงในอาหารจำพวกผัดที่ใช้ไฟแรงเลือกผักที่คุณชอบ เช่น แครอท พริกหวาน กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ หั่นเป็นชิ้นพอคำพักไว้ก่อน นำกระทะมาตั้งไฟใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เห็ดกระดุมหั่นบางๆ ผัดกับกระเทียมให้หอม จากนั้นใส่ผักที่เตรียมไว้ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองและซีอิ๊วขาว

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แอปเปิ้ลหลากสีต้านโรค

แอปเปิ้ล ผลไม้ที่มีขายกันอย่างแพร่หลาย แต่คุณจะรู้ไหมว่า เจ้าแอปเปิ้ล นี้มีประโยชน์กับสุขภาพร่างกายของเราแค่ไหน

แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ "Red delicious" ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพ คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ

แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอปเปิ้ลพันธุ์ "Fuji" นั้น มีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย


แอปเปิ้ลสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็มีดี ไม่แพ้ใคร เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียว อย่างพันธุ์ "Granny Smith" นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอปเปิ้ล ที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ "Golden Delicious" มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

‘ฟักทอง’ เปี่ยมประโยชน์


ฟักทองเป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบนๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางยามากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เลือกที่นอนเหมาะกับวัย


การพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือ การนอนและสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม สบายกายสบายตัว คงหนีไม่พ้นที่นอนที่สมส่วนและได้มาตรฐาน ถ้าที่นอนไม่ดี อาจทำให้การนอนพักผ่อนบนที่นอนที่อย่างน้อยก็คืนละไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงของเราไม่มีความสุข ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ เคล็ดลับสุขภาพดีอาทิตย์นี้ มีวิธีเลือกที่นอนให้หลับสบายส่งผลดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ

นพ.ยอดรัก ประเสริฐศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพให้ความรู้ว่า การเลือกที่นอนสำหรับเด็กจะเลือกที่นอนแบบใดก็ได้ เพราะกล้ามเนื้อยังแข็งแรงอยู่ส่วนวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคกระดูก วิธีการเลือกอาจไม่แตกต่างกับวัยเด็กเท่าใดนัก แต่การเลือกที่นอนที่ถูกต้องก็คือ ไม่ควรเลือกที่นิ่มเกินไปและแข็งจนเกินไป ควรเลือกที่มีความแน่นกำลังดีนอนแล้วสบายตัวตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้สึกปวดเมื่อย

สำหรับในผู้สูงอายุต้องเน้นมากเป็นพิเศษ เพราะเวลาอายุมากขึ้นกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมและยิ่งนอนที่นอนไม่ดี ก็จะยิ่งทำให้ปวดหลังมากขึ้น สมัยก่อนผู้สูงอายุมักบอกว่านอนที่นอนแข็งๆ แล้วหายปวดหลัง แต่อาจจะกลายเป็นว่า ไปปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อจุดอื่นๆ แทน สำหรับที่นอนที่นิ่มเกินไปนั้นก็มีผลเสียด้วยเช่นกัน เพราะเวลาเราพลิกตัวจะทำให้กล้ามเนื้อฝั่งตรงข้ามออกแรงต้านมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นและส่งผลทำให้มีอาการปวดหลัง
ส่วนวิธีการเลือกที่นอนอื่นๆ ที่ควรทราบก็เช่น ควรเลือกที่นอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควรหากต้องนอนหลายคน เพราะถ้าที่นอนเล็กเกินไปอาจมีพื้นที่น้อยในการขยับตัว ทำให้เรานอนเกร็งและเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการปวดหลัง นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำถึงวิธีการใช้ที่นอนที่ถูกต้องว่าฟูกที่นอนที่คุณภาพดีๆ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถใช้ได้ตลอด ที่สำคัญต้องรู้จักสังเกตว่าที่นอนยังอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่ มีรอยบุบหรือแตกหรือเปล่า หากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นลองใช้มือลูบดูว่าที่นอนเป็นแอ่งหรือเปล่า หากเป็นแสดงว่าที่นอนเริ่มเสื่อมแล้วแต่วิธีการถนอม ที่นอนที่ดีควรกลับด้านทั้ง 4 ด้าน ประมาณ 6 เดือนครั้งและควรทำความสะอาดบ่อยๆ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยหรือเป็นโรคภูมิแพ้ได้

อย่างไรก็ตามถ้าเราเลือกที่นอนไม่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกายแล้วจะมีผลกระทบคือ จากการที่กระดูกไม่ดีอยู่แล้วก็จะยิ่งเป็นการ เร่งให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บมากขึ้น มีอาการปวดหลังเรื้อรัง นอนหลับไม่สบายจนกระทั่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงตามลำดับ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สมุนไพรใกล้ตัว ลองกอง


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aglaia Dookkoo Griff.
ชื่อสามัญ : Longkong
ชื่อท้องถิ่นทุกๆภาคเรียกเหมือนกัน ว่าลองกอง ยกเว้นแถบมลายู และ จ.นราธิวาส เรียก ดูกู หรือโดกอง จ.นครศรีธรรมราช เรียก ลังสาดเขา

ลองกองเป็นไม้ตระกูลเดียวกับลางสาด ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นไม้ทรงพุ่มลำต้นสีน้ำตาลเขียว ใบรูปร่างยาวรี ผิวใบมัน ออกดอกเป็นช่อตามกิ่ง ผลทรงกลม ผิวเปลือกนอกของผิวลองกองหนาหยาบและผลเกาะแน่นกว่าลางสาด รวมถึงมียางน้อยหรือไม่มียางเลย ผิดกับลางสาดที่มียางมาก เนื้อในลองกองจะเป็นกลีบๆ สีขาวใส แห้ง รสหวาน ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี เป็นต้น จะออกผลในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม

ประโยชน์ในตำรายาไทย
การรับประทานลองกอง จะช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคหวัด และโรคเลือดออกตามไรฟัน เปลือกผลแห้งเอาไปเผาไล่ยุงได้ เปลือกและเม็ด มีส่วนประกอบของสารเคมี essential oil, lansic acid และ lansionic acid ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งมีความสำคัญทางการแพทย์และอุตสาหกรรม ผิวเปลือก มีรสขม มีสารแทนนิน (tannin) เป็นจำนวนมาก เปลือกของต้นและใบ ต้นเป็นยารักษาโรคบิด กิ่งต้นดื่มรักษาโรคกระเพาะ

ลองกองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าแถบมลายู อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และตอนใต้ของประเทศไทย

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

เรามาลองดู 10 เหตุผลดีๆ ที่เราไม่ควรกินเนื้อสัตว์กันดีกว่า
1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ

2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงและยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

9. สมองไบร์ท เมื่อร่างกายสดใสระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้นสมองไบท์ขึ้น

10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผักผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รู้จักกันไหม...เบาจืด

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่มีการสูญเสียหน้าที่การดูดกลับของน้ำที่ไต เนื่องจากมีระดับของฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำลดลง ส่วนสาเหตุที่ระดับฮอร์โมนลดลงนั้น อาจเกิดจากต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกทำลาย มีเนื้องอกไปกด หรือเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม กะโหลกศีรษะแตกไปทำลายเนื้อต่อม เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืดที่พบบ่อย คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ

การวินิจฉัยโรคเบาจืด
แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืด
นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง

ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลกินเจ

เทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ นับตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเรา ตามตำนานเล่าว่า เมื่อเล่าจื๊อ ศาสดาแห่งลัทธิเต๋าเกิดขึ้นได้ถือพรตของลัทธิเต๋าแต่นั้นมา

เมื่อก่อนนั้น การกินเจไม่มีการกำหนดว่าจะกินกันเมื่อไร แต่ถือเอาความสะดวกของผู้กิน จะกินวันไหน เดือนไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนนิยมกินเจในช่วงไว้ทุกข์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการปฎิบัติตนในทางที่ดีงาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

ต่อมาเมื่อเกิดกบฏไท้เผ้ง ซึ่งชาวจีนได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านและหวังกอบกู้แผ่นดินจากพวกแมนจู ผู้ก่อการกบฏ ถูกจับประหารชีวิต ยังความโศกเศร้า เสียใจให้กับชาวจีนจึงร่วมกันปฎิบัติธรรม โดยกินเจและถือศิล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ถูกประหารชีวิต การกินเจจึงถูกกำหนดให้เป็นเทศกาลตั้งแต่นั้นมา

เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ชาวจีนจะนุ่งขาวห่มขาว เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสจากโลกภายนอก ถือศิล กินเจ โดยปฏิบัติดังนี้

1. งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นเหตุให้ไม่ต้องแสวงหาเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อชีวิตสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในทุกกรณีรวมทั้งน้ำนมและน้ำมัน ที่มาจากสัตว์อีกด้วย

2. รักษาศีลห้าและรักษาพรหมจรรย์

3. ทำบุญทำทาน

4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์

5. แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาว

6. งดเว้นผักที่ให้กลิ่นแรงต่างๆ เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย เพราะถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์

ประโยชน์ของการ กินเจ ในมุมมองที่แตกต่าง
ประโยชน์ของการกินเจทุกคนไม่จำเป็นต้องมองแง่เดียวกัน การปฏิบัติในการกินเจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด เพียงแต่ยึดหลักที่เป็นหลักสำคัญในการกินเจไว้ก็เพียงพอแล้ว คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งในส่วนนี้เกิดจาก แง่มุมมองการกินเจบนปลายทางของผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะมีการมองประโยชน์ของการกินเจในมุมมองต่อไปนี้

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ
การกินเจ มักจะมีคนสงสัยว่า ได้อาหารครบ ๕ หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน และโปรตีนในถั่วยังมีถึง ๑๐ ชนิด ด้วยกัน นอกจากนี้อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่า กินครบ ๕ หมู่หรือไม่

แค

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania grandiflora (L.) Pers.

ชื่อสามัญ : Vegetable Humming Bird, Cork Wood Tree

ชื่อท้องถิ่น : แค แคบ้าน แคขาว แคแดง

ต้นแค เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอกแคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง

ประโยชน์ตำรายาไทยดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้างแผลและห้ามเลือดได้ข้อแนะนำ

สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จากประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับนักโภชนาการในโรงพยาบาล พบว่า การกินของคนไทยแต่ก่อนที่เคยเป็นปัญหาเรื่องโรคขาดสารอาหาร ในชนบทที่ห่างไกลหรือคนที่อยู่ไกลทะเล ประสบปัญหาขาดธาตุไอโอดีน ตอนนี้ปัญหาที่ว่าเบาบางลงไปแล้ว แต่ปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นคือคนเราทุกวันนี้เป็นโรคไม่ติดต่อกันมากขึ้น โรคภัยที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคที่เกิดจากการกิน เช่น วัยผู้ใหญ่เกิดโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต ไขมัน และเบาหวานเพิ่มขึ้น ส่วนเด็กมีภาวะโรคอ้วน สืบเนื่องจากการกินไม่ถูกวิธีและพฤติกรรมที่กินเยอะเกินไป ออกกำลังกายน้อยเกินไป

ปัญหาสุขภาพยอดฮิตที่ไม่ว่าไปถามหมอจากโรงพยาบาลไหน มักได้คำตอบเหมือนกันคือ โรคยอดนิยมอันดับหนึ่งคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคมะเร็ง ตามด้วยเบาหวาน ซึ่งนักโภชนาการและแพทย์ ระบุว่าเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำ คือการกินผิดนั่นเอง การกินเป็นพฤติกรรมเสี่ยงอย่างหนึ่ง ที่ถ้าทำต่อเนื่องไม่เกิดผลดีแน่ เพราะทำให้เกิดโรคไม่ติดเชื้อเรื้อรัง สะสมให้เกิดโรคร้ายหรือมีอัตราเสี่ยงสูงในอนาคต

ดังนั้น การหากฎเกณฑ์มากำหนดอาหารของคนแต่ละช่วงวัย เป็นเรื่องสำคัญ เพราะครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยคนหลายรุ่น มีวัยเด็ก ผู้ใหญ่ วัยชรา กินอาหารหม้อเดียวกันก็ใช่ว่าควรกิน "กับข้าว" หรือการประกอบอาหารสูตรเดียวกัน สมัยก่อนผู้ใหญ่มักไม่กังวลกับอาหารวัยเด็ก เพราะเด็กๆ กำลังเจริญเติบโต กินอะไรก็ได้ก็ไม่อ้วน แต่เด็กยุคใหม่อ้วน ออกกำลังกายน้อย ติดคอมพิวเตอร์ ไม่ออกกำลังกาย บ้านไหนมีเด็กๆ นอกจากให้เขารู้จักเลือกกินอย่างเหมาะสมแล้ว ต้องกระตุ้นให้เด็กออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น มีลูกหลานในบ้านใช้ให้หยิบของให้ เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ได้

เด็กจะได้เคลื่อนไหวร่างกาย กล้ามเนื้อได้ใช้สมวัย สมกับที่เขากินพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ กินไขมัน กินคาร์โบไฮเดรต แล้วร่างกายได้ใช้เต็มที่ วัยเด็กต้องดื่มน้ำให้เพียงพอด้วย เพราะเด็กเคลื่อนไหวร่างกายมาก ชอบวิ่ง เมื่อวิ่งแล้วเหงื่อออก ร่างกายสูญเสียน้ำ เสียเกลือแร่ เด็กจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ ส่วนผู้ใหญ่ถ้าต้องไปกินพิซซ่ากับลูกกับหลาน คนวัยผู้ใหญ่จะกินอะไร ดร.ชนิดา แนะนำว่า คนรุ่นปู่ย่า หรือคุณพ่อคุณแม่ไปไหนๆ กับลูกหลานได้ กินพิซซ่าก็ได้ แต่ขอจำกัดเพียง 1 ชิ้น แล้วเลือกสลัดผักแทน เด็กๆ สั่งน้ำอัดลม ผู้ใหญ่กินน้ำเปล่า เด็กกินไอศกรีม ผู้ใหญ่เลือกโยเกิร์ตหรือไอศกรีมเชอร์เบท ข้อจำกัดเรื่องร้านอาหารไม่มี แต่มีเงื่อนไขเรื่องเมนูอาหาร

ในทางโภชนาการมี "ธงโภชนาการ" สำหรับคนวัยทั่วไป ดังนั้นคนวัยผู้ใหญ่เข้าขั้นผู้สูงอายุก็มี "ธง" สำหรับคนวัยนี้ด้วยเช่น ธงของเด็กหรือพีระมิดอาหารและคนวัยเติบโตเน้นอาหารให้พลังงานสูง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เป็นฐานอยู่ชั้นล่าง แต่พีระมิดผู้ใหญ่เน้นกินผักหลายสี ดื่มน้ำเยอะ ลดไขมันและน้ำตาล เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่มัชฌิมวัย พีระมิดอาหารเหมือนกลับกัน และต้องรวมการออกกำลังกายและการควบคุมอารมณ์ ท่องให้ได้ 3 อ. จัดอย่างสมดุลคือ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ใยอาหารเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของพืช ได้แก่ ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ถั่วต่างๆ จัดอยู่ในประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีความหลากหลายทางกายภาพที่ไม่สามารถย่อยได้โดยระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ในอดีตได้มีการศึกษาถึงประโยชน์ของใยอาหารต่อระบบขับถ่าย ช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ดี แต่ในการศึกษาในปัจจุบันพบว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงสามารถลด ความเสี่ยงในการเกิดโรคบางอย่างได้อีกด้วย ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของทางเดินอาหารต่างๆ เช่น ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ลำไส้โป่งพอง และมะเร็งลำไส้ใหญ่ จึงได้มีความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากใยอาหารในการป้องกันโรค หรือควบคุมโรคที่มีอยู่ให้รุนแรงน้อยลง

มีการศึกษาพบว่าใยอาหารมีโครงสร้างและคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกันอย่างมาก และมีความหลากหลาย โดยมากใยอาหารมักมีโครงสร้างเป็นเส้นใย แต่ก็พบว่ามีใยอาหารบางชนิดที่ไม่ได้มีโครงสร้างเป็นเส้นใยแต่มีลักษณะเป็นเจลนิ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสารคัดหลั่งของพืช ใยอาหารจึงไม่ได้หมายถึงแต่โครงสร้างของพืชที่เป็นเส้นใยเท่านั้น แต่หมายถึงส่วนประกอบธรรมชาติในอาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพืช ได้แก่ ธัญพืช เมล็ดพืช ผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ และเนื่องจากโครงสร้างและคุณสมบัติของใยอาหารที่มีความหลากหลายมากทำให้เรา อาจแบ่งประเภทของใยอาหารได้อีกเป็น 2 แบบ คือ ใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ จะมีลักษณะเป็นเจลเมื่อรวมกับน้ำ พบมากในอาหารประเภทธัญพืช ถั่วต่างๆ และใยอาหาชนิดละลายน้ำไม่ได้ และด้วยความหลายหลายทางโครงสร้างและคุณสมบัติทางกายภาพของใยอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถนำใยอาหารไปใช้ประโยชน์ได้หลายวัตถุประสงค์อย่างไม่น่าเชื่อ ได้มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลของการบริโภคใยอาหารกับสุขภาพที่ดี ได้แก่

-ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่าใยอาหารสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เนื่องจากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้สามารถจับกับสารอาหารและชะลอการเคลื่อนที่ของสารอาหารจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ ทำให้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เลือดได้

-ในคนที่เป็นโรคอ้วน โดยปรกติอาหารที่มีใยอาหารสูงมักมีไขมันต่ำ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานต่ำตามไปด้วย ใยอาหารสามารถดูดน้ำเข้าสู่กระเพาะอาหารได้มากขึ้นทำให้อิ่มเร็วขึ้น

-ในคนที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด ใยอาหารช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดี ได้แก่ไตรกลีเซอไรด์และคลอเลสเตอรอล โดยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ด้วยการจับกับคลอเลสเตอรอลทำให้ลดการดูดซึมได้ นอกจากนี้ยังพบว่าใยอาหารชนิดนี้จะจับตัวเป็นเจลกับน้ำดี (ที่เป็นตัวช่วยในการดูดซึมไขมันและคลอเลสเตอรอลให้กับร่างกาย) นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่าใยอาหารที่มีอยู่ในรำข้าว ที่เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำไม่ได้แต่ก็ยังมีความพิเศษในการช่วยลดระดับปริมาณคลอเลสเตอรอลได้เช่นกัน

-ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ จากการศึกษาพบว่าคนที่ทานอาหารทีมีใยอาหารต่ำทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคได้มากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารช่วยจับตัวกับสารก่อมะเร็งได้และเร่งการนำพาสาร นั้นออกจากสำไส้

-ช่วยลดความผิดปกติของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวาร โรคลำไส้โป่งพอง เนื่องจากใยอาหารเพิ่มการดูดซึมน้ำกับอาหารทำให้กากอาหารที่ย่อยไม่ได้มี ลักษณะนิ่มและขับถ่ายออกจากร่างกายโดยสะดวก

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

กรุ๊ปเลือดเอ - สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ จะมีเลือดค่อนข้างเหนียวข้น และกระเพาะอาหารของคนกลุ่มนี้จะมีกรดต่ำว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ ดังนั้น ไอศกรีมโดยทั่วไปที่ทำมาจากนมวัวนั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนกลุ่มนี้ เพราะไขมันในนมวัวจะไปช่วยเพิ่มความเข้มข้นของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนช้า ส่งผลให้หัวใจจะทำงานหนักมากขึ้น ดังนั้น หากจะเลือกรับประทานไอศกรีมให้เหมาะที่สุดคือ ไอศกรีมที่ทำมาจากนมถั่วเหลือง
รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือด กรุ๊ปเอมากที่สุด ได้แก่ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ เช่น สตรอเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ บลูเบอรี่ เรดเบอรี่ ช็อกโกแลต ลูกพลัม ลูกพรุน มะเดื่อ กระท้อน สับปะรด เป็นต้น แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมรสมะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม แคนตาลูป มะพร้าว วนิลา เพราะจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะ และเป็นตัวการขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน

กรุ๊ปเลือดบี - เลือดกรุ๊ปนี้โชคดีกว่าใคร เพราะเป็นกลุ่มเลือดที่มีความสมดุล ไม่ข้นหรือเหลวจนเกินไป นมจึงไม่มีผลต่อร่างกายของคนเลือดกรุ๊ปนี้

รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปบีมากที่สุด ได้แก่ ส้ม กล้วย แคนเบอรี่ องุ่น ทุเรียน สับปะรด กระท้อน ช็อกโกแลต วนิลา สตรอเบอรี่ ชาเขียว และเป๊ปเปอร์มินต์ เพราะมีไฟเบอร์และเอนไซม์สูง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมรสมะพร้าว มะเฟือง ทับทิม ข้าวโพด และกะทิ เพราะเป็นตัวการที่ทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่ายกว่าอาหารอย่างอื่น

กรุ๊ปเลือดโอ - คนเลือดกรุ๊ปโอส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบดูดซึมในร่างกาย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดคนเลือดกรุ๊ปนี้ถึงอ้วนง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดไอศกรีมที่ทำจากนมวัวทุกประเภทแล้วหันมารับประทานไอศกรีมที่ทำจากผล ไม้หรือนมถั่วเหลืองแทนจะดีที่สุด

รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือด กรุ๊ปโอมากที่สุดคือ ไอศกรีมที่ทำมาจากผลไม้สีแดงเข้มหรือสีม่วง ได้แก่ ลูกพรุน ลูกพลัม มะเดื่อ แบล็กเชอรี่ ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ เป๊ปเปอร์มินต์ สับปะรด แต่ที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดคือ ไอศกรีมรสกาแฟ ส้ม วนิลา เกรปฟรุต สตรอเบอรี่ มะพร้าว แคนตาลูป เพราะหากทานเข้าไปจะไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร

กรุ๊ปเลือดเอบี - เลือดกรุ๊ปเอบีเป็นพวกลูกผสม ลักษณะอาหารการกินจึงคล้ายกับทั้งคนเลือดกรุ๊ปเอและบี แต่สามารถรับประทานนมได้ เพราะคนในกรุ๊ปนี้จะมีระบบการย่อยที่ซับซ้อนกว่า

รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอบีมากที่สุดคือ องุ่น กีวี เชอรี่ แคนเบอรี่มะเดื่อ สับปะรด ทุเรียน กระท้อน ชาเขียว ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ วนิลา แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมที่ทำจากผลไม้เมืองร้อนทั้งหลาย อาทิ มะม่วง มะพร้าว กล้วย ฝรั่ง เพราะจะย่อยยาก สำหรับรสส้มนั้นจะทำให้กระเพาะระคายเคือง แต่น่าแปลกใจที่ไอศกรีมรสมะนาวกลับช่วยย่อยและล้างระบบลำไส้ได้ดีเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ฝนตกทำไมต้องเป็นหวัด

เคยสงสัยกันไหมทำไมเวลาเข้าฤดูฝนทีไร เป็นต้องได้ยินเสียงฮัดชิ้ว ไอ จาม ของคนรอบข้างอยู่เป็นประจำ หรือถ้าศีรษะเปียกฝนต้องรีบกลับมาอาบน้ำ สระผมทันที ไม่เช่นนั้นจะไม่สบาย

โรคหวัด หรือเรียกอีกอย่างว่าโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ที่กระจายอยู่เป็นร้อยๆ ชนิดในอากาศ ทุกวันเราต้องสัมผัสกับเจ้าไวรัสพวกนี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากร่างกายของเรามีภูมิต้านทาน และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถทำอะไรเราได้

แต่ถ้าวันไหนท้องฟ้ามืดครึ้ม มีลมแรง พัดไวรัสให้ฟุ้งกระจาย และเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนที่ฝนใกล้จะตก โอกาสที่จะสัมผัสไวรัสก็มีมากขึ้น หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น คือ เราตากฝน ทำให้ศีรษะเปียกชื้น จะทำให้อุณหภูมิที่บริเวณเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้ทำให้เราเป็นหวัดนั่นเอง หรือบางทีถ้าเท้าเราต้องแช่อยู่ในน้ำนานๆ หรือเปียกน้ำ อุณหภูมิในเยื่อบุจมูกลดต่ำลง ก็นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้เช่นกัน

ฉะนั้นเรามาทราบวิธีป้องกันไม่ให้เราเป็นหวัดเวลาที่ศีรษะเปียกฝนกันดีกว่า

1.อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะก่อนฝนตก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกกันไว้

2.หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งทันที แต่ถ้าจะให้ดีอาบน้ำสระผมไปเลย จากนั้นรีบเช็ดและเป่าให้แห้งโดยเร็ว เพื่อทำให้อุณหภูมิเปลี่ยน และเจ้าเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวได้ลำบาก


3.แช่เท้าในน้ำอุ่นหรือรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น

4.รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล หรือรับประทานวิตามินซีเม็ด เพื่อช่วยเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป

ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้าร่างกายเราแข็งแรงซะอย่างโรคไหนก็ไม่มีทางมากล้ำกรายได้เด็ดขาด

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

อาการปากแห้งคืออะไร

อาการปากแห้ง หมายถึง การที่คุณไม่มีน้ำลายที่เพียงพอเพื่อให้ปากชุ่มชื้น ทุกคนสามารถมีอาการปากแห้งได้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่เราตื่นเต้นหรือกังวลใจ เสียใจหรือเครียด แต่ถ้าคุณมีอาการปากแห้งเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ หรือส่งสัญญาณว่าคุณมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ทั้งนี้น้ำลายไม่ได้มีไว้เพียงให้ความชุ่มชื้น แต่น้ำลายยังช่วยย่อยอาหาร ปกป้องฟันจากการผุ ป้องกันการติดเชื้อโดยการควบคุมแบคทีเรียในปาก และทำให้คุณสามารถเคี้ยวและกลืนอาหารได้
เหตุผลที่ทำให้ต่อมน้ำลายทำงานไม่ปกติมีหลาย ประการได้แก่
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด - ยากว่า 400 ประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง อาทิเช่น ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ และยาลดความดันโลหิต

โรคบางชนิด - โรคที่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย อาทิ โรคเบาหวาน โรคฮอดจ์กิน โรคพาร์กินสัน โรค HIV/AIDS และโรคตาแห้ง (Sjogren's syndrome) สามารถนำไปสู่อาการปากแห้งได้

การฉายรังสี - ต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ถ้าส่วนศรีษะและคอสัมผัสถูกรังสีระหว่างการรักษา มะเร็ง การสูญเสียน้ำลายอาจจะเป็นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดช่องปาก และอาจเป็นอาการชั่วคราวหรือถาวรได้

เคมีบำบัด- ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งสามารถทำให้น้ำลายมีความเหนียงขึ้น ทำให้คุณรู้สึกปากแห้ง

การหมดประจำเดือน - ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อต่อมน้ำลาย ทำให้ผู้หญิงมีอาการปากแห้งในช่วงหลังจากมีประจำเดือนและในวัยหมดประจำเดือน

การสูบบุหรี่ - ผู้สูบไปป์ ซิการ์ และบุหรี่จัด อาจมีอาการปากแห้ง

เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการปากแห้ง
ปากของทุกคนสามารถมีอาการแห้งได้เป็นครั้งคราว แต่จะเป็นปัญหาเมื่อคุณรู้สึกว่าอาการปากแห้งไม่หายไป อาการบางอย่างของอาการปากแห้งมี ดังนี้:

-ความรู้สึกเหนียวหรือแห้งในปาก

-มีปัญหาในการกลืน

-มีอาการปากร้อน

-คอแห้ง

-ริมฝีปากแตกแห้ง

-ความสามารถในการรับรสชาติน้อยลง และความรู้สึกถึงรสชาติคล้ายโลหะในปาก

-อาการเจ็บปาก

-ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

-ปัญหาในการเคี้ยวอาหารและการพูด

อาการปากแห้งสามารถรักษาได้อย่างไร

* จิบน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลบ่อยๆ

* หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลมบางชนิด ที่ทำให้ปากแห้ง

* เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล หรือลูกอมปราศจากน้ำตาลที่กระตุ้นการผลิตน้ำลาย (ถ้าต่อมน้ำลายยังคงทำงานได้อยู่)

* ไม่ใช้ยาสูบหรือแอลกอฮอล์ที่ทำให้ปากแห้ง

* ระวังอาหารรสเผ็ดหรือเค็มซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บในปาก

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

เดือน ' ทั้ง 12

เคยสงสัยไหมว่า ชื่อ ' เดือน ' ทั้ง 12 นี้มีที่มาอย่างไร??
ตั้งแต่ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน...ไปจนถึงธันวาคม
วันนี้มาแก้ปัญหาให้แล้ว ว ว !!!

สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงคิดตั้งชื่อเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยทรงใช้ตำราจักรราศี หรือการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี ประกอบด้วย 12 ราศี ตามวิชาโหราศาสตร์มาใช้กำหนดชื่อเดือนทั้ง 12 เดือน
โดยแบ่งเดือนที่มี 30 วัน และเดือนที่มี 31 วัน ให้ชัดเจน ด้วยการลงท้ายเดือนต่างกัน คือ คำว่า "ยน" และ "คม" ส่วนคำนำหน้านั้นมาจากชื่อราศีที่ปรากฏในช่วงเวลานั้นๆ เป็นวิธีนำคำ 2 คำมา "สมาส" กัน คำต้นเป็นชื่อราศี คำหลังคือคำว่า "อาคม" และ "อายน" แปลว่า "การมาถึง" เริ่มตั้งแต่

● มกราคม ---> มกร (มังกร) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมังกร

● กุมภาพันธ์ ---> กุมภ์ (หม้อ) + อาพนธ แปลว่า การมาถึงของราศีกุมภ์

● มีนาคม ---> มีน (ปลา) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมีน

● เมษายน ---> เมษ (แกะ) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีเมษ

● พฤษภาคม ---> พฤษภ (วัว,โค) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีพฤษภ

● มิถุนายน ---> มิถุน (ชายหญิงคู่) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีมิถุน

● กรกฎาคม ---> กรกฎ (ปู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีกรกฎ

● สิงหาคม ---> สิงห (สิงห์) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีสิงห

● กันยายน ---> กันย (สาวพรหมจารี) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีกันย

● ตุลาคม ---> ตุล (ตาชั่ง ตราชู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีตุล

● พฤศจิกายน ---> พิจิก , พฤศจิก (แมงป่อง) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีพิจิก

● ธันวาคม ---> ธนู (ธนู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีธนู
นั่นก็คือ ที่มาของชื่อ ' เดือน ' ในประเทศไทย

ส่วนชื่อ ' เดือน ' ของฝรั่งล่ะ มีที่มาอย่างไร??
ชื่อเดือนของฝรั่งนั้น มีชื่อมาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มาจากชื่อของเทพเจ้า แต่มักจะมาจากตัวเลขลำดับที่ของแต่ละเดือนในภาษาโรมัน

● January (มกราคม)
--> เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Janus ของชาวโรมันโบราณ จึงเรียกเดือนนี้ว่า "Januarius"

● February (กุมภาพันธ์)
--> เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Februus ของชาวอิตาเลียนโบราณ บางครั้งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Februa" เป็นเดือนที่มีเทศกาลเฉลิมฉลองกรุงโรม

● March (มีนาคม)
--> เป็นชื่อเดือนแรกของชาวโรมัน โดยใช้ชื่อของเทพเจ้าสงครามแห่งดาวอังคาร (the war-god Mars)

● April (เมษายน)
--> ชื่อเดือนมาจากคำว่า "Aprilis" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Aperire" หมายถึง "เปิด" (To open) ซึ่งอาจมาจาก "ดวงอาทิตย์"

● May (พฤษภาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 3 ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือนอาจมาจากชื่อของเทพธิดา Maiesta ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความเกียรติยศ และชื่อเสียง

● June (มิถุนายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 4 ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือนเป็นชื่อเทพเจ้า Juno

● July (กรกฎาคม)
--> เป็นเดือนที่กษัตริย์ Julius Ceasar ประสูติ โดยตั้งชื่อเดือนนี้เป็นเกียรติแก่พระองค์ เมื่อปี ค.ศ.44 ซึ่งเป็นเดือนที่ถูกลอบปลงพระชนม์ และเรียกชื่อเดือนนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "Quintilis" หมายถึง " เดือนลำดับที่ 5" (the fifth month)

● August (สิงหาคม)
--> ชื่อเดือนเดิมเรียกว่า "Sextilis" มาจากคำว่า "Sexus" แปลว่า "หก" (Six) แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชื่อ Augustus เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์องค์แรกของชาวโรมัน

● September (กันยายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 7 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Septem" แปลว่า "เจ็ด" (Seven)

● October (ตุลาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 8 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Octo" แปลว่า "แปด" (Eight)

● November (พฤศจิกายน)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 9 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Novem" แปลว่า "เก้า" (Nine)

● December (ธันวาคม)
--> เป็นเดือนลำดับที่ 10 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Decem" แปลว่า "สิบ" (Ten)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ

ตรวจสุขภาพ
- ไม่ควรอดนอน ไม่ควรดื่มสุราหรือกาแฟในคืนก่อนตรวจ เนื่องจากจะทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าความเป็นจริง

- ควรใส่เสื้อที่พับเเขนเสื้อขึ้นได้สะดวกไม่รัดเเน่น เพื่อความสะดวกในการเจาะเลือด

- ถ้ามีการทดสอบสมรรถภาพหัวใจโดยการเดินสายพาน (Exercise Stress Test) ควรใส่เสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวสะดวก

- คุณสุภาพสตรีที่ต้องตรวจภายใน ควรสวมกระโปรง เเละควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน

การงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ
หากต้องการตรวจเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือด ควรงดน้ำเเละอาหารก่อนเจาะเลือด 8 ชั่วโมง เเต่ถ้าต้องการตรวจระดับไขมันในเลือดร่วมด้วย ควรงดอาหารอย่างน้อย 12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด เช่น นัดเจาะเลือดเช้า 8 นาฬิกา ควรงดอาหารหลัง 20 นาฬิกาเเละงดน้ำหลัง 24 นาฬิกาในคืนก่อนหน้านั้น เป็นต้น

ทำอย่างไรไม่ให้มีรอยช้ำบริเวณที่เจาะเลือด
ควรงอข้อพับเเขนข้าที่ถูกเจาะเลือดไว้อย่างน้อย 5 นาที ไม่คลึงหรือนวดบริเวณที่เจาะเลือดเพราะอาจทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังบริเวณ ที่ถูกเจาะเลือดเเตก เป็นรอยช้ำได้ เเต่ถ้าหากมีรอยเขียวช้ำเเล้ว รอยช้ำดังกล่าวจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อาจทายาเเก้ฟกช้ำเช่น ฮีรูดอยด์ ช่วยได้ เเละไม่ควรนวดคลึงบริเวณรอยช้ำนั้น

การเก็บปัสสาวะ
ควรถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อน เก็บปัสสาวะในช่วงกลาง (mid stream urine) จะช่วยลดการปนเปื้อนได้ดีกว่า
สุภาพสตรีที่กำลังมีประจำเดือนไม่ควรตรวจปัสสาวะ เพราะจะเเปลผลไม่ได้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดเเดงปนเปื้อน

เอ็กซ์เรย์ต่างๆ
ถอดเครื่องประดับที่มีโลหะก่อนเอ็กซ์เรย์ สุภาพสตรีงดใส่ชุดชั้นในที่มีโครงเหล็ก เเละไม่ควรเอ็กซ์เรย์ขณะตั้งครรภ์

การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง
ถ้าตรวจช่องท้องส่วนบน (upper abdomen) ควรงดน้ำเเละอาหารก่อนทำ 6 ชั่วโมง ถ้าหิวหรือกระหายน้ำมาก รับประทานน้ำหรือน้ำหวานได้เล็กน้อย

ถ้าตรวจช่องท้องส่วนล่าง (lower abdomen)หรือมดลูก ควรดื่มน้ำมากๆจนปวดปัสสาวะเเล้วจึงตรวจ จะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น

การตรวจลำไส้ใหญ่
ก่อนการตรวจ 2 วัน ควรรับประทานอาหารอ่อนเเละกากน้อย เช่น โจ็ก ข้าวต้ม ไข่ เนื้อปลา น้ำเต้าหู้ เเละควรงดผัก ผลไม้
ก่อนการตรวจ 2 วันต้องรับประทานยาระบายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนเป็นเวลา 2 วัน

การตรวจเอ็กซ์เรย์เต้านม (mammogram)
ควรตรวจก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน 7 วัน งดทาแป้ง โลชั่น และครีมต่างๆ บริเวณเต้านมเเละรักแร้ในวันตรวจ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คัดเค้า : ไม้หอม แก้ฝี

คัดเค้าเป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม้ในบ้านของเรา และก็มีในประเทศเขตร้อนในทวีปแอฟริกาด้วย คัดเค้าจัดเป็นไม้ดอกหอม ดอกมักจะบานตอนเช้าๆแม้จะเคยมีเพลงที่มีเนื้อหาว่า"แม่ดอกโสนบานเช้า พ่อดอกคัดเค้าบานเย็น…" แต่ในความเป็นจริงช่วงเวลาการบานของดอกคัดเค้าตามเพลง ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

คัดเค้าถือเป็นไม้ดอกหอม ดอกมีสีขาว ออกดอกเป็นช่อสั้นตามง่ามใบและปลายกิ่ง ลำต้นจะมีหนาม ซึ่งชาวบ้านมักนิยมปลูกคัดเค้าไว้ริมรั้วด้วยความเชื่อว่า คัดเค้าจะช่วยกันผี(หรือช่วยกันขโมยด้วยก็ได้) กลิ่นคัดเค้าจะหอมชนิดที่สามารถเป็นน้ำหอมได้เลยทีเดียว

ดอกคัดเค้าไม่ได้บานอวดโฉมและกลิ่นในฤดูนี้ แต่จะบานในหน้าหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม เมื่อต้องสายลมเย็นพัดกลิ่นหอมของดอกคัดเค้าซึ่งมักจะหอมจัดตอนกลางคืน จะช่วยทำให้การหลับใหลเต็มไปด้วยความสุข พอรุ่งเช้าเก็บหาผักอะไรรับประทานไม่ได้ เจ้าดอกคัดเค้านี่แหละ เป็นผักที่ทั้งหอมและอร่อยเวลานำมาจิ้มน้ำพริกหรือแกล้มลาบ ส่วนยอดอ่อนของคัดเค้าเป็นผักแกล้มปลาดุกชั้นยอด ซึ่งยอดอ่อนมีให้เก็บกินเป็นผักได้ทุกฤดูกาล เป็นที่นิยมของชาวบ้านทั่วไป ทั้งยังเชื่อว่าการรับประทานใบของคัดเค้าจะช่วยรักษาอาการโลหิตจาง

คัดเค้ามีผลสีสุกสีดำ โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 ซ.ม ทุกส่วนของคัดเค้าคนโบราณนำมาใช้เป็นยาได้ทั้งสิ้น ในตำราไทยกล่าวว่าทั้งต้น รสเฝื่อนฝาด แก้เสมหะ แก้ไข้ เปลือกต้น รสฝาด ปิดธาตุแก้เสมหะ แก้โลหิตซ่าน ใบ รสเฝื่อนเมา ดอก รสขมหอม แก้โลหิตในกองกำเดา ผล รสเฝื่อนปร่า ขับโลหิตประจำเดือนเสีย บำรุงโลหิต บำรุงผิวให้ผ่องใส ราก มีรสฝาด แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้เลือดออกตามไรฟัน

ตำหรับยาที่เข้าส่วนประกอบของคัดเค้ามีมากมายหลายตำรับ ตำรับที่นิยมกันมากคือ การใช้ผลคัดเค้าเป็นยาขับประจำเดือน ตามความเชื่อและหลักการของคนโบราณนั้น สุขภาพของสตรีจะดีหรือไม่ จะสะท้อนด้วยสภาวะการมีประจำเดือน หากประจำเดือนมาสม่ำเสมอเป็นปกติย่อมมีสุขภาพที่ดี สตรีรุ่นก่อนเขาจึงใช้ผลคัดเค้า 1 กำมือต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานเช้าเย็น เป็นยาขับประจำเดือน

รากของคัดเค้ายังนิยมใช้ต้มกินแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ไข้ แก้ท้องเสีย และนิยมฝนกับน้ำซาวข้าวรักษาฝี รักษาแผลทั่วไปโดยเฉพาะแผลสุนัขกัด หมอยาพื้นบ้านท่านหนึ่งเล่าว่า การใช้รากคัดเค้าฝนกับเขี้ยวเสือรักษาแผลที่ถูกสุนัขกัด จะช่วยรักษาแผลนั้นให้หาย และมีความเชื่อว่าจะทำให้สุนัขตัวที่กัดนั้นถึงแก่ความตาย "มันแพ้กันหมากับเสือ"หมอยาท่านนั้นกล่าว

ในการแก้ฝีนั้นนอกจากจะใช้รากแล้ว ยอดของคัดเค้าที่นิยมรับประทานแกล้มลาบก็เป็นยาแปะรักษาฝีชั้นดี เมื่อเป็นฝีก็จะใช้ยอดคัดเค้าขยี้หรือตำคัดเค้าพอกฝี ก็ทำให้ฝีหายเร็วขึ้น รวมไปถึงหนามคัดเค้าก็เป็นหมอรักษาฝีที่ดีไม่แพ้รากและยอด มีการนำเอาหนามคัดเค้ามาฝนรักษาฝีเช่นเดียวกับการใช้ราก นอกจากการใช้ทาภายนอกแล้วยังมีการต้มคัดเค้าทั้งห้าส่วนรับประทาน เพื่อการรักษาฝีทั้งภายในและภายนอกด้วย

การใช้ประโยชน์จากคัดเค้าที่กล่าวมาดูเหมือนจะเป็นเพียงตำนาน หรือเรื่องเล่าที่ขาดข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน ข้อมูลที่มีการศึกษาวิจัยเพียงแต่พบว่าผลคัดเค้าทำให้แท้งได้ สอดคล้องกับการที่คนโบราณที่ใช้ในการขับประจำเดือน ยังพบว่าสารสกัดของคัดเค้ามีสรรพคุณแก้ปวดสำหรับความเป็นพิษสารสกัดของราก คัดเค้าไม่มีพิษ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ดอกมะลิ" สัญลักษณ์แทนใจวันแม่

" คำว่าแม่ "นั้นมีความหมายในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้"

ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน ต่อมามีการเปลี่ยนกำหนดงานวันแม่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนโดยให้ถือว่า วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วย เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี

"ดอกมะลิ” จึงกลายสัญลักษณ์หนึ่งที่มาพร้อมกับเทศกาล “วันแม่” ซึ่งเป็นวันที่บรรดาลูกให้ความสำคัญกับผู้ที่ให้กำเนิดเป็นพิเศษและไม่ว่าจะเลือกดอกมะลิพันธุ์ใด ที่มีประมาณ 10 กว่าพันธุ์ หรือ ซื้ออะไรให้แม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญเท่าความรู้สึกลึก ๆในหัวใจ ของแตละคนที่จะมอบความรัก ต่อแม่ทุกๆวัน และ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รักแม่ กอดแม่ ให้ความสุขกับท่านทุกวัน" เพื่อให้ท่านได้ชื่นใจ เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่” วันแม่ปีนี้อย่าลืมทำให้แม่ผู้มีพระคุณได้มีความสุขกันนะ
มะลิ เป็นพรรณไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ลำต้นสูงประมาณ 5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ ไปตามก้านต้นลักษณะใบป้อมมน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบยาว 2-3 นิ้ว มีดอกมะลิเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อตามปลายยอดหรือปลายกิ่งประมาณ 3-5 ดอก แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกมีสีขาวกลิ่นหอม มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ มะลิออกดอกตลอดปี

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พลูคาว..ต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน

พลูคาวมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ผักคาวตอง ผักคาวปลา ผักก้านตอง ผักเข้าดอง ผักคาวทอง ชื่อภาษาจีนก็มี คือ หื่อชอเช่า ในภาษาแต้จิ๋ว และ ยวีเซียนฉ่าว ซึ่งเป็นชื่อจีนกลาง

พลูคาวชอบขึ้นในที่ร่มรำไร มันชอบน้ำชื้นแฉะ ต้นสูงประมาณ 1 ฟุต ใบเป็นรูปหัวใจสีเขียวหรือรูปร่างคล้ายใบพลูขนาดเล็ก ด้านหลังของใบมีสีม่วง พลูคาวมีดอกน่ารัก มีกลีบสีขาวสี่กลีบ เกสรเป็นตุ่มนูนสีขาวอมเหลือง ลักษณะพิเศษของพลูคาวคือคาวสมชื่อ เมื่อเอาใบมาขยี้แล้วดมดูจะได้กลิ่นคาวปลา ก็สมชื่อผักคาวปลาอีกเช่นเดียวกัน

คนทางเหนือนิยมกิน พลูคาวเป็นผักแกล้มลาบอย่างหนึ่ง ลาบของคนทางเหนือเป็นลาบเนื้อดิบจะเป็นเนื้อหมู วัว ควาย ก็ได้ ใส่เลือดสดๆ ไม่เหมือนลาบอีสาน การทำลาบของชาวเหนือ เช่นลาบหมู เขาจะเอาเนื้อหมูมาสับละเอียดจนเนื้อเหนียวติดมีด คลุกกับเครื่องเทศสมุนไพร สัก 32 ชนิด จากนั้นใส่เลือดสดลงไปแล้วปรุงรส คนทางเหนือเชื่อว่าพลูคาวสามารถฆ่าพยาธิหรือเชื้อโรคได้ จึงนิยมเอามาแกล้มกับลาบที่กินดิบๆ ซึ่งอาจจะมีจุลินทรีย์อยู่ เป็นการป้องกันอาการทางท้อง

สำหรับสรรพคุณทางยาของพลูคาว หมอโบราณใช้รักษาฝี หนอง แก้บิด แก้อาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ใช้ขับนิ่ว แก้ระดูขาว รักษาไซนัสอักเสบ แก้เสมหะ กระทั่งรักษาริดสีดวงทวารที่มีก้อนเนื้อโผล่ออกมาอย่างได้ผล ซึ่งจะเห็นว่าเขาใช้พลูคาวรักษาอาการอักเสบหรือติดเชื้อทั้งสิ้น ส่วนใหญ่จะใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือมาต้มน้ำกินทุกวันจนกว่าจะหาย

ทุกวันนี้มีงานวิจัยสารต้านอนุมูลอิสระจากพลูคาวเพิ่มมากขึ้น และพบว่า มีสารอัลคาลอยด์ที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งสมอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมทั้งมะเร็งเม็ดเลือด
นอกจากนี้พลูคาวยังสามารถใช้เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสหวัด แบคทีเรีย เชื้อรา กระทั่งเชื้อไวรัส HIV ซึ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนความเชื่อของคนโบราณที่ว่าพลูคาวสามารถฆ่าเชื้อโรค ได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลจากห้องทดลอง ยังไม่มีงานวิจัยในคน จึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า พลูคาวสามารถใช้ต้านมะเร็งและป้องกันการติดเชื้อ แต่การกินพลูคาวก็น่าจะได้ประโยชน์และถ้ากินสดได้ก็คงดีไม่น้อย

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระพิฆเนศ


พระพิฆนเศวรเป็นเทพที่มีผู้คนนับถือและเคารพมากที่สุดเนื่องจากเป็นเทพที่มีพระกรุณาเป็นหนึ่งในเทพทั้งหมดและถือกันว่าเป็นปฐมเทพที่จะได้รับการบูชาก่อนเริ่มพิธีกรรมต่างๆเนื่องจากได้รับพรจากศิวเทพเพราะความเฉลียวฉลาด และเป็นเทพที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ พระพิฆเนศวรเป็นเทพที่มีพระวรกายแตกต่างจากเทพอื่นๆทั้งหมดตามที่เราเห็นว่ามีพระวรกายเป็นมนุษย์แต่มีพระพักตร์เป็นคชสาร

ประวัติพระพิฆเนศวร
ในคราวที่พระศิวะเทพทรงไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระแม่ปารวตีเนื่องจากอยู่องค์เดียวเลยเกิดความเหงาและประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามาก่อความวุ่นวายในพระตำหนักในจึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่องค์ศิวเทพเสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงในพระตำหนักด้านในนั้นองค์ศิวเทพได้กลับมาและเมื่อจะเข้าไปด้านในก็ถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันศิวเทพก็ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นพระโอรสที่พระแม่ปารวตีได้เสกขึ้นมา เมื่อพระองค์ถูกขัดใจก็ทรงพิโรธและตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใครเพราะตนกำลังทำตามบัญชาของพระแม่ปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของมหาเทพจนสิ้นใจและศีรษะก็ถูกตัดหายไป

ในขณะนั้นเองพระแม่ปารวตีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาลก็เสด็จออกมาด้านนอกและถึงกับสิ้นสติเมื่อเห็นร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อได้สติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง

เมื่อได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นองค์มหาเทพก็ทรงตรัสว่าจะทำให้เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหา เนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งกระวนกระวายใจเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้เมื่อเห็น เช่นนั้นพระศิวะเลยบัญชาให้เทพที่มาช่วยให้เอาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรก ที่พบมาและปรากฎว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อให้และชุบชีวิตให้ใหม่พร้อมยกย่อง ให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า พระพิฆเนศวร ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังทรงให้พรว่าในการประกอบพิธีการต่างๆทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศวรก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น

ความสำคัญแต่ละส่วนของพระวรกาย
เนื่องจากพระพิฆเนศวรมีพระวรกายที่ไม่เหมือนเทพอื่นๆนั้น ได้มีการอธิบายถึงพระวรกายของพะองค์ท่านดังนี้
1. พระเศียรของท่านหมายถึงวิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิต

2. พระวรกายแสดงถึงการที่เป็นมนุษย์ที่อยู่บนพื้นปฐพี

3. ศีรษะช้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด

4. เสียงดังที่เปล่งออกมาจากงวงหมายถึงคำว่า โอม ซึ่งเป็นเสียงแสดงถึงความเป็นสัจจะของสุริยจักรวาล

5. หระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศน์ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะและหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง

6. พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก

7. มือขวาล่างทรงงาที่หักครึ่งซึ่งพระองค์ทรงใช้เป็นปากกาในการเขียนมหากาพย์มหาภารตะให้มหาฤษี
เวทวยาสมุนีและเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเสียสละ

8. อีกมือทรงลูกประคำที่แสดงว่าการแสวงหาความรู้จะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

9.ขนมโมณฑกะหรือขนมหวานลัดดูในงวงเป็นการชี้นำว่ามนุษย์จะต้องแสวงหาความหวานชื่นในจิตวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะได้มีจิตเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆ

10. หูที่กว้างใหญ่เหมือนใบพัดหมายความว่าท่านพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เราร้องเรียนและเรียกหา

11. งูที่พันอยู่รอบท้องท่านแสดงถึงพลังที่มีอยู่โดยรอบ

12. หนูที่ทรงใช้เป็นพาหนะแสดงถึงความไม่ถือองค์และพร้อมที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่เล็กและเป็นที่รังเกียจของมนุษย์ส่วนมาก

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม

ใครที่ชอบทานส้มตำคงคุ้นตาดีกับภาพแม่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียว ใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรส ดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อน ที่สำคัญต่อ สามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตา หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า–แม่ค้า ใช้ดูให้ดี

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อน ในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้อเป็นสำคัญ ล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบ ที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้
หนทางป้องก้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้ หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสาร พิษภายในร่างกายลงได้

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"มะเขือยาว" อร่อยมีสรรพคุณ

ปัจจุบันพืชผักกินได้เกือบทุกชนิดมีราคาแพงมากจนบางครั้งหยิบแทบไม่ติด สาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศในปีนี้แล้งจัดและอุณหภูมิสูง ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชผักกินได้มีผลิตผลน้อยลง ซึ่งพืชผักบางชนิดแม้จะมีวางขายแต่จะไม่มีความสมบูรณ์ รูปทรงแคระแกร็นหรือหงิกงอ บางอย่างถึงกับขาดตลาดไม่มีวางขายเนื่องจากแห้งตายคาสวน จึงทำให้พืชผักกินได้มีราคาแพงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม มีหลายคนแก้ไขปัญหาด้วยการปลูกพืชผักกินได้ชนิดปลูกง่ายโตไวลงกระถางตั้งใน บริเวณบ้านไว้เก็บกินเอง เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา โหระพา มะเขือเทศ สามารถแก้ไขได้ระดับหนึ่ง ซึ่ง "มะเขือยาว" เป็นพืชผักกินได้ ที่นอกจากปลูกเก็บผลรับประทานในครัวเรือนได้แล้ว บางส่วนของ "มะเขือยาว" ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย จึงแนะนำให้ปลูกเสริมเพื่อเก็บผลกินในบ้านอีกชนิดหนึ่ง

มะเขือยาว หรือ SO-LANUM MELONGENA LINN. อยู่ในวงศ์ SOLA-NACEAE เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น กิ่งอ่อนมักมีขนละเอียดปกคลุมทั่วและมีหนามเล็กสั้นประปราย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น ท้องใบมีขนนุ่ม ผิวใบสีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแหลม ดอกเป็นสีม่วง กลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อันอยู่ติดกับกลีบดอก ก้านเกสรและอับเกสรเป็นสีเหลือง "ผล" รูปกลมยาว มี 2 ชนิดพันธุ์คือ พันธุ์ที่ผลเป็นสีเขียว กับ พันธุ์ที่ผลเป็นสีม่วง ผิวผลเรียบเกลี้ยงและเป็นมัน ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่ เวลาติดผลดกและผลยาวห้อยลงจะดูสวยงามทั้งสีเขียวและสีม่วง ติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปัจจุบัน "มะเขือยาว" มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 15 แผง "คุณปืด" ราคาสอบถามกันเอง

ประโยชน์ทางสมุนไพร ลำต้นและราก แก้บิดเรื้อรัง อุจจาระเป็นเลือด แผลเน่าเปื่อยอักเสบ ใบ แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคหนองใน พอกแผลบวมเป็นหนอง ผลแห้ง ทำเป็นยาเม็ดกินแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ ผลสด ตำพอกแผลอักเสบมีหนอง ขั้วผลแห้ง เผาเป็นเถ้าบดให้ละเอียดกินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้ครับ

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สบู่ฆ่าเชื้อโรคจำเป็นจริงหรือ


อย่างที่รู้ว่าโลกเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรค พอเห็นโฆษณาว่ามี "สบู่ฆ่าเชื้อโรค" ช่วยปกป้องผิวจากแบคทีเรียได้นานเป็นพิเศษ เราก็นึกอยากซื้อมาใช้แทบจะทันที จริงๆแล้ว...สบู่ฆ่าเชื้อโรค อย่างที่ว่ามันจำเป็นและดีจริงๆหรือ

นักวิจัยชื่อ นายแพทย์ Eli Perencevich จาก Beth Israel Deaconess Medical center ในบอสตัน ปฏิเสธว่า "ไม่จริง" เพราะสารต้านแบคทีเรียที่ถูกเติมลงในสบู่อาจฆ่าเชื้อโรคได้ แต่เมื่อใช้ติดต่อกัน แบคทีเรียจะเกิดการกลายพันธุ์ และเจ้าพันธุ์ใหม่นี้ฉลาดกว่าสารที่ฆ่ามันด้วยซ้ำ เพราะมันจะต่อต้านหรือ "ดื้อยา" นั่นเอง

โดยธรรมชาติบนผิวหนังของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่หลายชนิด ทั้งตัวที่ดีและตัวร้าย แบคทีเรียจะควบคุมกันเอง เมื่อเราฆ่าแบคทีเรียนั่นหมายถึงแบคทีเรียตัวที่ดีซึ่งคอยปกป้องผิวเราก็ พลอยโดนกำจัดไปด้วย ผิวหนังเสียสมดุลย์ และทำให้เกิดการแพ้และแห้งผากได้ง่าย

สารฆ่าเชื้อโรคที่ถูกเติมลงในสบู่ซึ่งเราคุ้นชื่อกันดี ก็คือ ไตรโคซานหรือไตรโคคาบาล เวลาเลือกซื้อสบู่ก็ลองสังเกตดูที่ฉลากว่าสบู่ยี่ห้อนั้นมีสารต้านแบคทีเรีย ประเภทนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุมารแพทย์บางคนไม่แนะนำให้ใช้สบู่ฆ่าเชื้อโรคกับเด็ก เพราะมันแรงเกินไปสำหรับผิวบอบบาง

สำหรับคนทั่วไป วิธีที่จะป้องกันแบคทีเรียหรือเชื้อโรคไม่ให้เข้ามากล้ำกรายคุณโดยไม่ต้อง ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้ง่ายดาย จำคำที่แม่เคยสอนตั้งแต่ตอนเป็นเด็กได้ไหม "ล้างมือก่อนกินข้าวนะลูก" นั่นแหละใช้ได้

"ล้างมือ" เป็นวิธีที่ง่ายถูกและดีที่สุดในการป้องกันเชื้อโรค เพราะเชื้อโรคสามารถติดต่อถึงกันได้ง่ายๆ เพียงแค่คนที่เป็นพาหะไปจับต้องวัตถุ แล้วบังเอิญคุณไปจับต่อ แล้วมาหยิบอาหารเข้าปาก ขยี้ตาหรือจมูกด้วยมือที่สกปรกนั่นเอง โดยเฉพาะในเด็กๆที่ภูมิต้านทานโรคยังน้อย

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม

อาจจะถึงเวลาที่ต้องเพิ่มมะม่วงในรายชื่ออาหารชั้นเยี่ยมเพราะนอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วยและในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกันหรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

การศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย

จากผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?

สำหรับประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

น้ำมะพร้าว... มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ(Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

ชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย(คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์(Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัยเพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวานไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้วยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลังบำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้

น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ คุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรหรือไม่

การที่เรามีฟันครบอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ก็สามารถทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ดีละเอียดขึ้น จะทานอะไรมันก็อร่อย ระบบบดเคี้ยวที่ดีต้องมีความสมดุล ซึ่งจะสัมพันธ์กันแค่ ฟัน ขากรรไกร และกล้ามเนื้อที่ขยับขับเคลื่อนขากรรไกร ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดผิดปกติ ระบบบดเคี้ยวก็เสียหายด้วย การเคี้ยวข้างเดียวก็เป็นประเด็นหนึ่งที่โยงไปถึงการด้อยประสิทธิภาพในการบด เคี้ยวและมีผลข้างเคียงหลายๆอย่าง

ทำไมถึงเคี้ยวข้างเดียว
1. มีปัญหาที่ตัวฟันข้างนั้น เคี้ยวแล้วเศษอาหารติด,เคี้ยวแล้วเจ็บ จึงย้ายไปเคี้ยวอีกข้าง,ฟันผุที่ไม่ได้อุด,ฟันที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ,โยก คลอน,ฟันร้าว,ฟันแตก,ฟันเหลือแค่ราก ลักษณะอย่างนี้ที่ทำให้ฟันทำหน้าที่ไม่เต็มที่ คนใช้จึงโยกการเคี้ยวไปอีกข้าง

2. บริเวณข้างนั้นไม่มีฟัน หลังจากที่ถอนฟันไปแล้ว ทันตแพทย์มักแนะนำให้คนไข้ใส่ฟันเพื่อรักษาระบบการบดเคี้ยวให้เป็นไปเหมือนเดิม มีหลายท่านที่ถอนฟันแล้วไม่ใส่ก็ย้ายไปเคี้ยวฝั่งตรงข้ามที่มีฟันเต็มๆ

3. มีฟันครบแต่ประสิทธิภาพในการตัดอาหารของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เรามักจะไปเคี้ยวยังด้านที่บดอาหารได้ดีกว่า อาจเป็นเพราะยอดฟันสึกจากที่เคยอุดฟันหรือใส่ฟัน Procela..มานานๆ วัสดุอุดฟันอาจจะสึกแตก ความคมของยอดฟันสูญเสียไป ก็เคี้ยวไม่ถนัดเมื่อเทียบอีกข้าง

4. โดยนิสัยของแต่ละคนที่ถนัดเคี้ยวข้างเดียว

การเคี้ยวข้างเดียวมีผลอย่างไร?
1. เกิดความไม่สมดุลย์ต่อการบดเคี้ยว โดยปกติแล้วหัวต่อขากรรไกรจะมีทั้งซ้าย,ขวา ทำหน้าที่คล้ายบานพับ อ้าปากหุบปาก หากมีการเคี้ยวข้างเดียวนานๆ มีผลทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณหัวต่อขากรรไกรได้

2. การเคี้ยวข้างเดียว มีผลทำให้ฟันข้างนั้นทำงานหนักมากขึ้น โอกาสจะเสียหาย,ฟันสึก,แตกมีมากขึ้น

3. กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวด้านนั้นจะทำงานหนักมากขึ้น รูปขากรรไกรอาจดูไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อด้านนั้นจะแข็งแรงและโตกว่าอีกข้าง

หากท่านเคี้ยวข้างเดียว จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ควรพบทันตแพทย์สาเหตุนั้นออก เพื่อให้ระบบบดเคี้ยวอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ ลดการเสี่ยงต่อผลกระทบหรือสิ่งเสียหายที่มีต่อหัวต่อขากรรไกรและอวัยวะข้างเคียงได้

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

5 วิธีทานของปิ้งย่างแบบไม่เสียสุขภาพ

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารประเภทย่างที่โปรดปรานของหลายคน นั้นอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพนัก เพราะการทำให้อาการสุกโดยใช้ความร้อนสูงโดยการปิ้ง ย่าง และทอดนั้น จะมีสารที่ก่อมะเร็งหรือ heterocyclic amines (HCAs) and polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) ออกมาขณะทำอาหาร แต่หากอดใจ ไม่ไหวกับความหอมหวนของอาหารประเภทนี้ เหล่านี้คือวิธีลดความเสี่ยงจากการปิ้งย่างลง

เพิ่มผักตระกูลผักกาดลงไป เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักประเภทนี้จะอุดมไปด้วย sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของดีเอ็นเอ เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานกะหล่ำดาววันละประมาณสองถ้วยครึ่งทุกวัน สามารถช่วยลดความเสียหายของดีเอ็นเอในร่างกายได้

จุ่มเนื้อด้วยน้ำซอสขณะย่าง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณของสารก่อมะเร็งลงได้ร้อยละ 92 – 99 การศึกษาวิจัยพบว่าน้ำซอสที่มีส่วนผสมของไวน์หรือเบียร์ช่วยลดสารก่อมะเร็งลงได้ ทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

เปลี่ยนจากเนื้อเป็นปลา อาหารทะเลจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งน้อยกว่าเนื้อสัตว์ เพราะมีกรดอะมิโนน้อยกว่าและใช้เวลาในการปิ้งย่างน้อยกว่า

ลดไขมันลง หากคุณชอบเนื้อสัตว์มากกว่าอาหารประเภทปลา ลดการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ลงด้วยการนำหนังไก่ออกก่อนย่าง เพราะหนังไก่ หรือเนื้อขาวจะทำให้เกิดการปะทุของไฟขณะย่าง ซึ่งเป็นตัวการของมะเร็งนอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของมะเร็งเต้านม

ชุบแป้ง การนำเนื้อไปหมักกับสมุนไพร หรือแป้งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดสารก่อมะเร็งขณะย่างลง เพราะนอกจากสมุนไพรจะมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว การชุบแป้งยังช่วยลดสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี อย่าลืมเพิ่มอาริกาโน ใบโหระพา มินท์ หรือเครื่องเทศ ลงในเนื้อของคุณก่อนย่างทุกครั้ง