วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

เรามาลองดู 10 เหตุผลดีๆ ที่เราไม่ควรกินเนื้อสัตว์กันดีกว่า
1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ

2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงและยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

9. สมองไบร์ท เมื่อร่างกายสดใสระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้นสมองไบท์ขึ้น

10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผักผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รู้จักกันไหม...เบาจืด

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่มีการสูญเสียหน้าที่การดูดกลับของน้ำที่ไต เนื่องจากมีระดับของฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำลดลง ส่วนสาเหตุที่ระดับฮอร์โมนลดลงนั้น อาจเกิดจากต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกทำลาย มีเนื้องอกไปกด หรือเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม กะโหลกศีรษะแตกไปทำลายเนื้อต่อม เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืดที่พบบ่อย คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ

การวินิจฉัยโรคเบาจืด
แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืด
นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง

ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลกินเจ

เทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ นับตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเรา ตามตำนานเล่าว่า เมื่อเล่าจื๊อ ศาสดาแห่งลัทธิเต๋าเกิดขึ้นได้ถือพรตของลัทธิเต๋าแต่นั้นมา

เมื่อก่อนนั้น การกินเจไม่มีการกำหนดว่าจะกินกันเมื่อไร แต่ถือเอาความสะดวกของผู้กิน จะกินวันไหน เดือนไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนนิยมกินเจในช่วงไว้ทุกข์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการปฎิบัติตนในทางที่ดีงาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

ต่อมาเมื่อเกิดกบฏไท้เผ้ง ซึ่งชาวจีนได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านและหวังกอบกู้แผ่นดินจากพวกแมนจู ผู้ก่อการกบฏ ถูกจับประหารชีวิต ยังความโศกเศร้า เสียใจให้กับชาวจีนจึงร่วมกันปฎิบัติธรรม โดยกินเจและถือศิล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ถูกประหารชีวิต การกินเจจึงถูกกำหนดให้เป็นเทศกาลตั้งแต่นั้นมา

เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ชาวจีนจะนุ่งขาวห่มขาว เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสจากโลกภายนอก ถือศิล กินเจ โดยปฏิบัติดังนี้

1. งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นเหตุให้ไม่ต้องแสวงหาเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อชีวิตสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในทุกกรณีรวมทั้งน้ำนมและน้ำมัน ที่มาจากสัตว์อีกด้วย

2. รักษาศีลห้าและรักษาพรหมจรรย์

3. ทำบุญทำทาน

4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์

5. แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาว

6. งดเว้นผักที่ให้กลิ่นแรงต่างๆ เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย เพราะถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์

ประโยชน์ของการ กินเจ ในมุมมองที่แตกต่าง
ประโยชน์ของการกินเจทุกคนไม่จำเป็นต้องมองแง่เดียวกัน การปฏิบัติในการกินเจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด เพียงแต่ยึดหลักที่เป็นหลักสำคัญในการกินเจไว้ก็เพียงพอแล้ว คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งในส่วนนี้เกิดจาก แง่มุมมองการกินเจบนปลายทางของผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะมีการมองประโยชน์ของการกินเจในมุมมองต่อไปนี้

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ
การกินเจ มักจะมีคนสงสัยว่า ได้อาหารครบ ๕ หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน และโปรตีนในถั่วยังมีถึง ๑๐ ชนิด ด้วยกัน นอกจากนี้อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่า กินครบ ๕ หมู่หรือไม่

แค

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania grandiflora (L.) Pers.

ชื่อสามัญ : Vegetable Humming Bird, Cork Wood Tree

ชื่อท้องถิ่น : แค แคบ้าน แคขาว แคแดง

ต้นแค เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอกแคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง

ประโยชน์ตำรายาไทยดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้างแผลและห้ามเลือดได้ข้อแนะนำ

สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จากประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับนักโภชนาการในโรงพยาบาล พบว่า การกินของคนไทยแต่ก่อนที่เคยเป็นปัญหาเรื่องโรคขาดสารอาหาร ในชนบทที่ห่างไกลหรือคนที่อยู่ไกลทะเล ประสบปัญหาขาดธาตุไอโอดีน ตอนนี้ปัญหาที่ว่าเบาบางลงไปแล้ว แต่ปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นคือคนเราทุกวันนี้เป็นโรคไม่ติดต่อกันมากขึ้น โรคภัยที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคที่เกิดจากการกิน เช่น วัยผู้ใหญ่เกิดโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต ไขมัน และเบาหวานเพิ่มขึ้น ส่วนเด็กมีภาวะโรคอ้วน สืบเนื่องจากการกินไม่ถูกวิธีและพฤติกรรมที่กินเยอะเกินไป ออกกำลังกายน้อยเกินไป

ปัญหาสุขภาพยอดฮิตที่ไม่ว่าไปถามหมอจากโรงพยาบาลไหน มักได้คำตอบเหมือนกันคือ โรคยอดนิยมอันดับหนึ่งคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคมะเร็ง ตามด้วยเบาหวาน ซึ่งนักโภชนาการและแพทย์ ระบุว่าเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำ คือการกินผิดนั่นเอง การกินเป็นพฤติกรรมเสี่ยงอย่างหนึ่ง ที่ถ้าทำต่อเนื่องไม่เกิดผลดีแน่ เพราะทำให้เกิดโรคไม่ติดเชื้อเรื้อรัง สะสมให้เกิดโรคร้ายหรือมีอัตราเสี่ยงสูงในอนาคต

ดังนั้น การหากฎเกณฑ์มากำหนดอาหารของคนแต่ละช่วงวัย เป็นเรื่องสำคัญ เพราะครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยคนหลายรุ่น มีวัยเด็ก ผู้ใหญ่ วัยชรา กินอาหารหม้อเดียวกันก็ใช่ว่าควรกิน "กับข้าว" หรือการประกอบอาหารสูตรเดียวกัน สมัยก่อนผู้ใหญ่มักไม่กังวลกับอาหารวัยเด็ก เพราะเด็กๆ กำลังเจริญเติบโต กินอะไรก็ได้ก็ไม่อ้วน แต่เด็กยุคใหม่อ้วน ออกกำลังกายน้อย ติดคอมพิวเตอร์ ไม่ออกกำลังกาย บ้านไหนมีเด็กๆ นอกจากให้เขารู้จักเลือกกินอย่างเหมาะสมแล้ว ต้องกระตุ้นให้เด็กออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น มีลูกหลานในบ้านใช้ให้หยิบของให้ เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ได้

เด็กจะได้เคลื่อนไหวร่างกาย กล้ามเนื้อได้ใช้สมวัย สมกับที่เขากินพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ กินไขมัน กินคาร์โบไฮเดรต แล้วร่างกายได้ใช้เต็มที่ วัยเด็กต้องดื่มน้ำให้เพียงพอด้วย เพราะเด็กเคลื่อนไหวร่างกายมาก ชอบวิ่ง เมื่อวิ่งแล้วเหงื่อออก ร่างกายสูญเสียน้ำ เสียเกลือแร่ เด็กจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ ส่วนผู้ใหญ่ถ้าต้องไปกินพิซซ่ากับลูกกับหลาน คนวัยผู้ใหญ่จะกินอะไร ดร.ชนิดา แนะนำว่า คนรุ่นปู่ย่า หรือคุณพ่อคุณแม่ไปไหนๆ กับลูกหลานได้ กินพิซซ่าก็ได้ แต่ขอจำกัดเพียง 1 ชิ้น แล้วเลือกสลัดผักแทน เด็กๆ สั่งน้ำอัดลม ผู้ใหญ่กินน้ำเปล่า เด็กกินไอศกรีม ผู้ใหญ่เลือกโยเกิร์ตหรือไอศกรีมเชอร์เบท ข้อจำกัดเรื่องร้านอาหารไม่มี แต่มีเงื่อนไขเรื่องเมนูอาหาร

ในทางโภชนาการมี "ธงโภชนาการ" สำหรับคนวัยทั่วไป ดังนั้นคนวัยผู้ใหญ่เข้าขั้นผู้สูงอายุก็มี "ธง" สำหรับคนวัยนี้ด้วยเช่น ธงของเด็กหรือพีระมิดอาหารและคนวัยเติบโตเน้นอาหารให้พลังงานสูง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เป็นฐานอยู่ชั้นล่าง แต่พีระมิดผู้ใหญ่เน้นกินผักหลายสี ดื่มน้ำเยอะ ลดไขมันและน้ำตาล เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่มัชฌิมวัย พีระมิดอาหารเหมือนกลับกัน และต้องรวมการออกกำลังกายและการควบคุมอารมณ์ ท่องให้ได้ 3 อ. จัดอย่างสมดุลคือ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์