วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“มะเขือยาว” ช่วยลดคอเลสเตอรอล-ความดันโลหิต

มะเขือยาว กินประจำอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความดันโลหิต ช่วยรักษาหลอดเลือดและหัวใจให้เป็นปกติ เสริมการทำงานของสมองเสริมความจำ ลดอาการบวม ถอนพิษไข้ และช่วยขับปัสสาวะ

มะเขือยาว หรือ เอ๊กเพลนต์ Eggplant สำหรับอเมริกา หรือ ออเบอร์จีน Aubergine สำหรับอังกฤษ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โซลานัม มีลองจีนา(Solanum melongena L.) ส่วนชื่อไทยมีเรียกหลายอย่างตามภูมิภาค ดังนี้ มะเขือไข่ม้า, มะแขว้ง, มะแข้งคม, มะเขือป้าว (ภาคเหนือ), มะเขือฝรั่ง (กรุงเทพฯ), มะเขือขาว, มะเขือจานมะพร้าว, มะเขือกระโปกแพะ, มะเขือจาน (ภาคกลาง), สะกอวา, ยั่งมูไล่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) และเกียจี้ (จีน)

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือยาว ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตเส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม วิตามินเอวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และสารไกลโคอัลคาลอยด์ (glycoalkaloids) สารต้านเอนไซม์โปรทีเอส สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เทอร์ปีน (terpenes)

จากการศึกษาพบว่า สารสกัดจากผลมะเขือยาวนำไปทดสอบกับคนและกระต่าย มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือด การกินเป็นประจำอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความดันโลหิต ช่วยรักษาหลอดเลือดและหัวใจให้เป็นปกติ ทั้งเสริมการทำงานของสมองเสริมความจำ ลดอาการบวม ถอนพิษไข้ และช่วยขับปัสสาวะ

ส่วนน้ำคั้นมี สารไกลโคอัลคาลอยด์ ลดตกกระและจุดด่างดำบนใบหน้าและเคยใช้ทดลองรักษามะเร็งผิวหนัง ตำพอกแก้ผดผื่นคัน รักษาแผลฝีหนองและโรคผิวหนังเรื้อรังเพราะมีสารต้านแบคทีเรีย และเนื่องจากมีสารต้านเอนไซม์โปรทีเอส จึงช่วยต้านมะเร็งและไวรัสบางชนิดได้นอกจากนี้ ชาวจีนเชื่อว่าเด็กที่กินมะเขือยาวเป็นประจำจะมีสมองดีโดยนำมะเขือยาวที่ทำ สุกแล้วไปบดเป็นอาหารสำหรับเด็กอ่อนที่ระบบย่อยอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่

สรรพคุณเกี่ยวกับผลดังกล่าว มาจากที่มะเขือยาวมีความสามารถในการดูดซับน้ำมัน โดยมีรายงานว่ากระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมีมะเขือยาวเป็นอาหารเพิ่ม พบว่าไม่มีคอเลสเตอรอลเกาะในหลอดเลือด จึงคาดว่ามะเขือยาวยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้ ดังนั้น หากจะบริโภคโดยใช้วิธีการทอดแล้ว มะเขือยาวก็จะดูดซับน้ำมันไว้ด้วย จึงมีคำแนะนำให้ใช้วิธีการอบ หรือใช้น้ำมันที่มีประโยชน์ ซึ่งภูมิปัญญาไทยใช้วิธีการชุบแป้งทอดหรือใช้วิธีการเผาก่อน

ส่วนอื่นๆ ของต้นมะเขือยาว ยังใช้ได้ดังนี้
ลำต้นและรากแห้ง ใช้ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้บิดเรื้อรัง บิดอุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ลำต้นและรากสดนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทา หรือล้างบริเวณที่เป็นแผลที่ถูกความเย็น แผลเท้าเปื่อยอักเสบ

ราก ของมะเขือยาวยังมีสรรพคุณช่วยกัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียวดับพิษร้อนใน และแก้โรคสันนิบาต

ส่วนใบ ใช้ใบแห้งนำมาตำให้เป็นผงละเอียดประมาณ 6-10 กรัม กินเป็นยาแก้โรคบิดอุจจาระเป็นเลือด แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคหนองใน แก้ตกเลือดในลำไส้ หรือนำมาต้มเอาน้ำใช้ล้างแผล หรือใช้พอกบริเวณที่เป็นแผลบวมเป็นหนอง

ดอก ใช้ดอกสด หรือดอกแห้ง นำมาเผาให้เป็นเถ้าแล้วบดให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาบริเวณที่ปวด เป็นยาแก้ปวดฟัน ฟันผุ และบริเวณแผลที่มีหนอง

สำหรับผลแห้ง นำมาทำเป็นยาเม็ด กินเป็นยาแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ อุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ผลสดนำมาตำให้ละเอียด พอกบริเวณที่เป็นแผลอักเสบที่มีหนอง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังและผดผื่นคัน

สำหรับขั้วผล ใช้ขั้วผลที่แห้ง ประมาณ 60-90 กรัม ต้มหรือเผาให้เป็นเถ้าบดให้ละเอียด กินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้ อุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ขั้วผลสดนำมาตำให้ละเอียด พอกหรือทาบริเวณที่เป็นแผลบวมมีหนอง แผลในปาก ปวดฟันหรือเป็นฝี

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดีๆ


เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามร วมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่ายๆ

กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดงดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่างๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความ โรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทน การกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของอคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของอโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเรา ตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
ดอกกุหลาบ สีกุหลาบสื่อความหมาย

สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

สีขาวและแดง สื่อความ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

7 เคล็ดลับอ่านให้จำ ในเวลาจำกัด

อ่านหนังสือกี่ทีกี่ครั้ง ก็จำไม่ได้สักที แถมไม่มีเวลาแล้วด้วย สมาธิก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่อ่านก็ไม่ได้ด้วย เกิดสอบตกขึ้นมาจะเศร้ากว่าเดิม ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้อ่านหนังสือสอบให้จำได้อย่างสบายๆ

1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว

2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ

3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น

4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง

5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา

6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ

7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันตรุษจีน

ตรุษจีน เป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีน มีการจัดงานตามประเพณีที่มีมาแต่ช้านาน และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นที่รู้จักไม่แพ้เทศกาลของชาติฝรั่ง เพราะชาวจีนได้เดินทางออกไปตั้งชุมชนกระจายทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้เข้ามาอยู่บนผืนแผ่นดินไทยจนแนบแน่นกลมเกลียวเสมือนเป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกัน ตรุษจีน เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานนับพันปี นับเป็นวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เดือน 1 ของชาวจีนที่ถือเอาตามปฏิทินแบบจันทรคติ ซึ่งช่วงของการฉลองตรุษจีนนี้จะเรียกกันว่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือจากที่การทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพสำคัญของชาวจีนมาตั้งแต่อดีต การสังเกตสภาพดินฟ้าอากาศและฤดูกาล เพื่อจดบันทึกทำเป็นปฏิทิน เพื่อใช้ในการวางแผนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวจึงเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนจีนที่สำคัญ ดังนั้นแล้ววันตรุษจีนนี้จึงเป็นวันขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ที่บรรพชนชาวจีนได้กำหนดขึ้นมานั้นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าในวันนี้ เทพเจ้าจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ฉะนั้นจึงควรสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลวันขึ้นปีใหม่

ก่อนถึงเทศกาลวันตรุษจีน จะการเตรียมงานล่วงหน้าเป็นเดือน มีการจัดหาของขวัญเตรียมมอบให้แก่กัน ทำความสะอาดบ้านเรือนครั้งใหญ่ ถือเป็นการกวาดเอาสิ่งโชคร้ายในปีนั้นออกไป ประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม ตระเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่เป็นศิริมงคล และแน่นอนว่าสีสันที่ชาวจีนนิยมในการตกแต่งบ้านเรือนและเลือกเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ คือ สีแดง สีอันเป็นมงคลของชาวจีนนั้นเอง ในช่วงเทศกาลนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยสีแดงสด ประตูหน้าต่างถูกทาด้วยสีแดง ป้ายคำอวยพรจากกระดาษสีแดงเขียนด้วยตัวอักษรจีนสีทองแขวนตามบ้านและร้านค้าต่างๆ แต่เดิมเทศกาลวันตรุษจีน เคยมีการฉลองยาวนานถึง 15 วัน ตั้งแต่วันแรกของปีใหม่ไปถึงวันที่สิบห้า ที่เป็นงานฉลองโคมไฟ แต่ในปัจจุบันด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้การจัดงานเหลือวันที่เราๆในประเทศไทยคุ้นเคยกันดีเพียง 3 วัน นั้นคือ วันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

โดยวันแรกนั้นคือวันจ่าย หรือ ตือเส็ก
อันเป็นวันสุดท้ายก่อนสิ้นปี วันนี้ชาวจีนจะพากันจับจ่ายซื้ออาหาร เครื่องเซ่นไหว้ และของใช้ต่างๆ เพื่อเตรียมไว้ใช้ในเทศกาลตรุษจีน เพราะหลังจากวันนี้แล้ว บรรดาร้านคาต่างๆจะพากันหยุดยาว ในเวลาค่ำของวันนี้จะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน

วันไหว้ หรือ วันสิ้นปี วันนี้จะมีการไหว้ 3 ครั้ง
ครั้งที่หนึ่งในตอนเช้ามืด จะทำการไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย คือ การไหว้เทพเจ้าต่างๆ โดยเครื่องไหว้จะประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ 3 อย่างที่เรียกว่า ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด แต่ก็อาจเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือใช้ขอไหว้มากกว่านั้นเป็น เนื้อสัตว์ 5 อย่างก็ได้ ซึ่งก็จะเพิ่ม กุ้งมังกร และ ขึ้นมา นอกจากนี้ก็จะมีน้ำชา เหล้า และกระดาษเงินกระดาษทอง
ครั้งที่สองในตอนสายไม่เกินเที่ยง จะเป็นการไหว้บรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นของจีน ที่แสดงถึงความกตัญญูตามคติจีนนั่นเอง สำหรับของไหว้ก็จะประกอบไปด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน หรือทำตามอาหารที่ผู้ล่วงลับเคยชื่นชอบเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และทำการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากกระดาษ เป็นการอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ

สุดท้ายในตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ ซึ่งเป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งผีไม่มีญาติ เครื่องไหว้จะต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ โดยจะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล รวมทั้งกระดาษเงินกระดาษทอง และในช่วงเวลานี้เองที่เราจะได้ยินเสียงจุดประทัดดังทั่วทุกแห่งหนเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและเป็นสิริมงคลสำหรับปีใหม่

อาหารหลังจากที่ใช้เซ่นไหว้นั้น สุดท้ายก็จะนำมารับประทานร่วมกันในครอบครัวเพื่อความเป็นสิริมงคล และในมื้อค่ำของวันนี้ เช่นเดียวกับวันคืนวันส่งท้ายปีใหม่แบบสากล คืนนี้นับว่าเป็นวันที่สนุกสนานครื้นเครงที่สุด ครอบครัวจะพร้อมหน้าพร้อมตาร่วมวงสังสรรค์เฮฮารับประทานมื้อค่ำร่วมกันอาหารที่รับประทานกัน บรรยากาศของอาหารค่ำ เด็กน้อยวิ่งเล่นหยอกล้อกันสนุกสนาน ผู้ใหญ่ก็ดื่มสังสรรค์ พูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน หากิจกรรมผ่อนคลายร้องรำทำเพลง เล่นเกม หรือตั้งวงไพ่ เพื่อรอต้อนรับวันปีใหม่ที่กำลังเดินทางมาพร้อมกับโชคดีมีชัย