วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้อาการอ่อนเพลีย หลังเดินทาง

เคยเกิดอาการแบบนี้กันไหมคะ ที่เวลาเดินทางท่องเที่ยวจะสนุกสนาน ตื่นเต้นกับสิ่งรอบข้างและประสบการณ์ใหม่ๆ ลืมความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากันไปเลย แต่หลังจากกลับมาจากการเดินทางแล้ว ร่างกายจะขาดสมดุล รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง จิตใจไม่แจ่มใส บางคนอาจจะปวดศีรษะ หรือไม่สบายไปเลยก็มี ดังนั้น เรามีวิธีทำให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นได้หลังจากการเดินทาง

ดื่มน้ำผลไม้ ผลไม้มีประโยชน์ในทุกสถานการณ์จริงๆนะคะ เพราะเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง วิธีที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายนั้นก็คือ การดื่มน้ำผลไม้ประเภทสมูทตี้ (Smoothie) คือการใช้ผลไม้สดทั้งผลปั่นแบบไม่กรองกาก เช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุล (rebalance) ได้เร็วขึ้น

รับประทานอาหารแต่เช้า ร่างกายคนเรามีระดับการเผาผลาญอาหารสูงสุดในช่วงเที่ยงวันค่ะ อาหารที่ดีคือ อาหารที่รับประทานแต่เช้า (คือภายในชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน) ควรรับประทานมื้อเช้าและมื้อเที่ยงเป็น "มื้อหลัก" โดยให้หนักไปทางโปรตีนและไขมัน ส่วนอาหารมื้อเย็นควรเป็นมื้อเล็กหน่อย หนักไปทางคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสีที่มีคุณค่าสูง อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย หลับสบาย และช่วยล้างพิษในช่วงที่เราหลับอยู่

หลับอย่างไรให้สนิท ช่วงหลังกลับมาจากเดินทางบางคนอาจจะมีอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนเวลา อากาศ และสภาพแวดล้อม ดังนั้น ควรหาวิธีช่วยให้หลับสนิท โดยการดื่มนมอุ่นๆ เพราะนมมีกรดอะมิโนที่ช่วยในการนอนหลับ นอกจากนั้น ห้องนอนก็ควรมืดสนิทและเงียบ หลีกเลี่ยงการตั้งนาฬิกาปลุกในช่วง 45-120 นาทีแรก เพราะเป็นช่วงที่เรากำลังหลับลึก ถ้าตื่นในช่วงนี้จะทำให้เราเวียนศีรษะและไม่สดใสนะ

หายใจให้เป็น ทำการฝึกหายใจแบบสบายๆ วิธีการฝึกทำได้โดยการหาที่นั่งเงียบๆ สัก 5 นาที นั่งหลังไม่งอและไม่เกร็ง วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกเบาๆ วางอีกข้างไว้ที่หน้าท้องเบาๆ หายใจเข้าและหายใจออกอย่างช้าๆ พร้อมกันนี้ ให้ทำความรู้สึกว่า "หายใจเข้า…ฉันผ่อนคลาย" "หายใจออก…ฉันผ่อนคลาย" ช่วยคลายกล้ามเนื้อสมอง ลดความเครียดลง และผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มือ...อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

มือของเราเป็นอวัยวะสำคัญ เราใช้มือหยิบจับตั้งแต่สิ่งสกปรกมากที่สุดถึงหยิบจับสิ่งที่สะอาดมากที่สุด เช่น สัมผัสสิ่งสกปรก แคะจมูก หยิบจับอาหารใส่ปาก เป็นต้น ในแต่ละวันเราใช้มือทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย จนอาจลืมนึกถึงว่ามือเราสะอาดแค่ไหน หากเราสามารถมองเห็นเชื้อโรคด้วยตาเปล่า เราส่องดูมือจะเห็นว่ามือที่คิดว่าสะอาดแล้ว ยังมีสิ่งสกปรกมากมาย ติดอยู่ตามนิ้ว โดยเฉพาะบริเวณตามนิ้วมือ และตามซอกนิ้ว มือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ หวัด วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด หัดเยอรมัน โรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อุจจาระร่วง บิด ตับอักเสบชนิดเอ โรคพยาธิต่างๆ และโรคติดต่ออื่นๆ ได้แก่ โรคตาแดง โรคเริม หัด โรคเชื้อรา เป็นต้น

เราจึงควรล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ประหยัด และทำได้ด้วยตนเอง ดังนี้

1. ทำมือให้ เปียกด้วยน้ำ

2. ล้างมือด้วยสบู่ หรือสบู่เหลว

3. ล้างมือให้ทั่วถึงทุกจุดของมือ ปลายนิ้วมือ และซอกนิ้ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป

การล้างมือมี 7 ขั้นตอน ดังนี้

1. ฝ่ามือถูฝ่ามือ

2. ฝ่ามือถูหลังมือ และนิ้วถูซอกนิ้,

3. ฝ่ามือถูฝ่ามือ และนิ้วถูซอกนิ้ว

4. หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ

5. ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบ ด้วยฝ่ามือ

6. ปลายนิ้วถูขวางฝ่ามือ

7. ถูรอบข้อมือ ทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง และทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง (มือซ้ายและมือขวา) จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง ควรฝึกล้างมือให้เป็นนิสัย โดยล้างมือทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร หลังการขับถ่าย ก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย หลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง และหลังเสร็จกิจกรรมที่ทำให้มือสกปรก

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งดอาหารเช้าบ่อยเสี่ยงโรคหัวใจ

นักวิจัยบอกว่า การออกจากบ้านทั้งที่ท้องยังว่างทำให้เป็นโรคอ้วน มีไขมันสะสมบริเวณท้อง และมีคอเลสเตอรอลสูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังทำให้มีระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน

คนที่มีความเสี่ยงเหล่านี้มากที่สุดคือ ผู้ใหญ่รายที่มักไม่ทานอาหารเช้าเมื่อสมัยยังเด็ก และยังคงทำเช่นนี้มาตลอดเมื่อโตขึ้น แม้ผลวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า อาหารเช้าส่งผลดีต่อหัวใจ แต่งานชิ้นนี้เป็นครั้งแรกที่ติดตามผลเสียในระยะยาว งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีอายุถึงช่วง 20 ปลายๆ คนที่ไม่ค่อยทานอาหารเช้าเมื่อตอนเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ
นักวิทยาศาสตร์คิดว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนเหล่านี้มีแนวโน้มจะกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง และไม่ค่อยออกกำลังกาย รวมทั้งได้รับใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณน้อย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ซึ่งติดตามศึกษาอาสาสมัคร 2,184 คนในช่วงเวลา 20 ปี พบว่า การงดอาหารเช้าจะทำให้ลักษณะการสะสมไขมันของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และคนเหล่านี้มักทานอาหารไม่ตรงเวลา

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ

“พ่อ” ไม่เพียงแต่จะหมายถึงชายในฐานะผู้ให้กำเนิดแก่ลูก หรือเป็นคำที่ลูกเรียกผู้ให้กำเนิดตนเท่านั้น แต่คำ ๆ นี้ยังรวมถึงภาระความรับผิดชอบที่ผู้ชายคนหนึ่งๆ จะพึงมีในฐานะหัวหน้าหรือผู้นำของครอบครัวอีกด้วย

วันพ่อแต่ละปีที่ผ่านไป คุณให้ความสำคัญกับท่านแค่ไหน อย่ามองข้ามความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นะครับ หาการ์ดให้คุณพ่อหรือบอกรักท่าน อยากให้เพื่อนๆ รักคุณพ่อมากขึ้นทุกลมหายใจ

เป็นสองมืออุ้มชูเลี้ยงดูลูก เป็นสายใย พันผูก คอยห่วงหา
เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร
ามเจ็บไข้เฝ้าดูแลด้วยชีวิต ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน
ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยน
ด้วยความรักของพ่อที่ยิ่งใหญ่ ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้
ด้วยชีวิต พื่อลูก .. เฝ้าดูแล ด้วยสองมือไม่ผันแปร

บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา
ตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว

พุทธรักษามีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์

พืชในวงศ์ CANNACEAE

ชื่อสามัญ Butsarana

ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก

เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้น มีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคล

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัย อันตรายจากขนมปัง


ขนมและอาหารว่างประมาณ 700 ตัวอย่างมาวิเคราะห์จากฉลากโภชนาการและส่วนประกอบเพื่อให้ทราบ คุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีเพียง 10% ของขนมทั้งหมด ที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการ แต่ก็ไม่ได้ผ่านทั้งหมด เพราะใน 10% นั้นบางอย่างก็เค็มเกินไปหวานเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่นๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก
2. กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง
3. กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก
4. กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่างๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูงยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมาก
5. กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน

นอกจากขนมกรุบกรอบแล้ว ยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควรได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกขนมกรุบกรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภทแป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานและโรคหัวใจ

อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลินเป็นผลจากความอ้วนและมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย