วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาหารที่คนทำงานต้องไม่พลาด

หนุ่มสาวที่ต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศทุกๆ วัน ควรได้รับอาหารเสริมอย่างเต็มที่ มาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่เหมาะกับคนทำงานอย่างเราๆ ค่ะ

1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงานช่วยป้องกันโรคเหน็บชาที่คนที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย

2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น สาวๆ ที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด

3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวันเลย

4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

5. ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสด้วย สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง

7.น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย สาวๆ ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอด เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย

8. ทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะทำคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม่รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกระตุ้นให้สาวๆ กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

9. ถั่ว ยิ่งคนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี

10. วิตามินซีและธาตุเหล็ก เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ อย่างเราต้องทางวิตามินซี และธาตุเหล็กมากๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

11. ชาเขียว นอกจากจะทำให้ลมหายใจสดชื่นไม่มีกลิ่นปากแล้ว ถึงชาเขียวที่ทานแล้วยังช่วยลดมลพิษในห้องทำงานได้ด้วย แค่วางทิ้งไว้เฉยๆ มันก็จะดูดฝุ่นละอองให้เราเอง ทำให้ลดการเป็นภูมิแพ้ไปโดยอัติโนมัติ

12.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมือเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อน เช้าๆ ควรทานเป็นอาหารรสกลางๆ ไปก่อนจะดีกว่า

13. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ก่อนจะดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้ว เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับคาแฟอีนมากเกินไป

14. งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่

15. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัวที่คนทำงานต้องมี

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยางลบทำมาจากอะไร

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ เช่น กระดาษ ดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน
วิธีใช้ ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือ เนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมาก เพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆ แต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่า ยางลบจึงลบไม่ออก แต่ยาง ลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออก หากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี

ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลัก ยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิล พลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาว แต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ

ประวัติยางลบที่ปลายดินสอ ผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหิน ซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่ ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรก ต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยาง จากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น

อย่างไรก็ตาม ยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปัง เนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปี ค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์ (Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวร ยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรก แต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่

ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลาย เนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่น เนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง

ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียว ถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่า พลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียว ลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือ เนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธนาคารที่สวยที่สุดในไทย! (งดงามเหมือนกับวัง)

ธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนเพชรบุรีเดิมเคยเป็นวังมาก่อน ด้านหลังติดคลองแสนแสบ ด้านข้างติดกับศึกษาภัณฑ์กิ่งเพชร


เกาะโบราโบร่า(หมู่เกาะที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก)

เกาะ "โบรา โบร่า" เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะตาฮิติเป็นทะเลที่สวยที่สุดในโลก ตาฮิติ เป็นหมู่เกาะในเขตแปซิฟิกใต้ ค้นพบครั้งแรกไร่เรี่ยกันระหว่างชาวอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็พยายามช่วงชิงเข้าอยู่ในการปกครองของตัวเอง จนกระทั่งเกือบร้อยปีที่แล้วจึงได้ชื่อว่า French-Polynesiaตาฮิติ ขึ้นชื่อทางด้านทรัพยากรทางทะเลที่เอื่อเฟื้อให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้าน การท่องเที่ยวตลอดมาจนได้ชื่อว่า "ราชินีแห่งหมู่เกาะทะเลใต้" ที่นี่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก







วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กรุ๊ปเลือด กับการดูแลตัวเอง

ในปัจจุบันเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพดูจะเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังให้ความ สนใจอย่างมาก การออกกำลังกาย การกินตามกรุ๊ปเลือดดูจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม มีข้อมูลจากศูนย์สุขภาพมาแนะนำกัน

คนที่มีกรุ๊ปเลือด A
จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม
ขณะเดียวกันไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B
เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะ ติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบ คู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย
คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควร กินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB
เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำ ให้เกิดความเครียด

คนที่มีเลือดกรุ๊ป O
ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

เหล่านี้เป็นเพียงแค่แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว !!

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำไมหนูแฮมสเตอร์นอนทั้งวัน?

หนูแฮมสเตอร์สัตว์เลี้ยงชนิดนี้นั้นจะนอนในเวลากลางวัน แล้วก็จะตื่นขึ้นมาเล่นวิ่งเล่นในตอนกลางคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วการออกมาหาอาหารหรือวิ่งเล่นในเวลากลางคืนจะปลอดภัยกว่าการออกมาวิ่งเล่น หรือหาอาหารในตอนกลางวัน ซึ่งตามธรรมชาติแต่เดิมของหนูแฮมสเตอร์จะหาโพลง หรือขุดรูเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งในบัจจุุบันหนูแฮมสเตอร์ที่คนเลี้ยงก็จะมีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น หามุมเหมาะๆ ที่เย็นๆ นอน

ทั้งนี้ เพื่อนๆ ที่เลี้ยงเจ้าแฮมสเตอร์สามารถลองสังเกตดูได้ หรือจะทดลองดูได้โดยให้ลองนำแผ่นหินอ่อน เล็กๆ ไปวางไว้ในกรง แล้วไม่นานเจ้าหนูแฮมสเตอร์ก็จะมานอนบนแผ่นหินที่เรานำไปวางไว้ ส่วนในตอนกลางวันนั้นหนูแฮมสเตอร์จะใช้เวลาไปกับการนอน และก็จะตื่นขึ้นมากินอาหารเป็นช่วงๆ
ท่านอนสุดฮา
ในเวลาที่หนูแฮมสเตอร์นอนหลับ เราจะได้เห็นท่านอนที่แปลกๆของแต่ละตัว แต่ละท่า บางตัวที่อ้วนมากๆ ก็อาจจะนอนแผ่ออก นอนหงายท้อง และอื่นๆ อีกมากมาย

ตื่นออกมาเล่นในเวลากลางคืน
ในเมื่อหนูแฮมสเตอร์ตื่นมาเล่นในเวลากลางคืน ในเวลานอนเพื่อนๆ ก็จะได้ยินเสียงวิ่งเล่นวงล้อ หรือเสียงกัดแทะ สิ่งต่างๆ ภายในกรง สำหรับที่วิ่งบางอันนั้นเวลาที่หนูวิ่งจะมีเสียงดัง อาจจะทำให้นอนไม่หลับก็เป็นได้ ดังนั้น ใครที่นอนหลับยากๆ เวลาซื้อที่วิ่งก็ต้องเลือกกันสักหน่อย
โดยส่วนมากแล้ว ถ้าเราปิดไฟนอนแล้วลองแอบมาสังเกตพฤติกรรมของเจ้าหนูแฮมสเตอร์ก็จะเห็นว่าเขาวิ่งไปมาในกรง หรือออกมาหาอาหารกินบ่อยๆ แต่สำหรับคนนอนดึก เจ้าหนูก็จะตื่นออกมาดึกสักหน่อย

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วาซาบิ ช่วยป้องกันฟันผุ ได้นะ

หลายคนคงจะเคยลองลิ้มชิมรสกับอาหารญี่ปุ่นกันบ้างแล้ว และหลายคนก็คงจะได้ลองสัมผัสกับความฉุนของเจ้า "วาซาบิ" ที่ถือว่าเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว บางคนอาจจะหลงใหลในรสฉุนดังกล่าว บางคนอาจจะร้องยี้ แต่รู้หรือไม่คะว่า ในวาซาบิที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทานอาหารญี่ปุ่นนั้น วาซาบิมีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ยังอาจจะช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วยนายฮิเดกิ มาซูดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท โอกาวะ ผู้ผลิตเครื่องปรุงรส ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สารประกอบทางเคมีในวาซาบิ นอกจากทำให้วาซาบิ มีรสชาด และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็น ต้นเหตุของฟันผุ โดยวาซาบิประกอบด้วย ไอโซทิโอไซยาเนตส์ ซึ่งนักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการผลิตเอนไซม์ ที่มีส่วนสำคัญ ในการก่อตัวของหินปูน ก่อนหน้านี้ วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รถบินได้ คันแรกของโลก!

รถบินได้..ราคาแค่ 6 ล้านกว่าบาทเท่านั้น...


ว้าว ว้าว....ต่อไปเมื่เจอรถติดเราก็ไม่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจกันแล้วเพียงแค่กางปีกแล้วก็เหิรฟ้ากันได้แล้วค่ะ

บริษัทเทอร์ราฟูเจีย รัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐอเมริกา เจ้าของรถบิน แถลงว่า รถบินเตรียมพร้อมแล้วที่จะนำออกสู่ท้องฟ้าและท้องถนน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 6.4 ล้านบาท รถบินมีสภาพเป็นเครื่องบินมากกว่ารถ อย่างเวลาจะบินขึ้นหรือร่อนลงต้องใช้พื้นที่รันเวย์สั้นๆ ไม่ใช่บินขึ้นลงตรงๆ เหมือนอย่างเฮลิคอปเตอร์ เมื่อกางปีกเต็มที่ ปีกของรถบินจะยาว 8.25 เมตร บินด้วยความเร็ว 115 ไมล์ต่อชั่วโมง
แต่ถ้าเปลี่ยนฟังก์ชันเป็นรถ ก็สามารถซิ่งได้เร็วเหมือนรถคันอื่นๆ ที่ขับอยู่ในไฮเวย์ ถ้าน้ำมันใกล้หมดแค่เข้าไปเติมที่ปั๊มน้ำมัน เรียกหาน้ำมันไร้สารตะกั่วเท่านั้น เทอร์ราฟูเจียรับรองว่า รถบินขับได้ไม่ยาก แต่จะกางปีกได้ก็ต่อเมื่อผู้ขับที่ได้ใบอนุญาตการบินใส่รหัสลับเข้าไป

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 เกาะสวย-ดีที่สุดในโลก


อันดับที่ 1 เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (เอเซียในบ้านเรามีสถานที่สวยงามและน่าสนใจเหมือนกัน และก็ติดอันดับโลกมาตลอดเช่นกัน ปีนี้ไต่ขึ้นเป็นแชมป์ หลังเมือปีก่อนอยู่อันดับ 2)


อันดับที่ 2 หมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศเอกวาดอร์ (เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกมาตลอดแต่ปีนี้ไม่ได้แชมป์แต่กลับเป็นรองแชมป์แทนเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 1)


อันดับที่ 3 เกาะเคป เบรตัน ในรัฐโนวา สโกเชีย ประเทศแคนาดา (ปีนี้ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กระโดดจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 10)


อันดับที่ 4 เกาะคาอูอิ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (คงเส้นคงวาเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 4)


อันดับที่ 5 เกาะ Mount Desert ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา


อันดับที่ 6 เกาะมาอูอิ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (ตกลงมาเยอะเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 3)

อันดับที่ 7 หมู่เกาะเอโอเลียน ประเทศอิตาลี


อันดับที่ 8 หมู่เกาะมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์


อันดับที่ 9 เกาะบิ๊ก ไอส์แลนด์ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (ตกจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 7)


อันดับ 10 เกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นมถั่วเหลือง นมเพื่อชนทุกชั้น

มนุษย์นำถั่วเหลืองมาใช้เป็นอาหารในชีวิตประจำวันนานนับพันๆ ปีแล้ว แต่ด้วยถั่วเหลืองนั้นมีเมล็ดซึ่งมีลักษณะเนื้อแข็งอยู่ จึงได้มีการดัดแปลงกันบ้าง เพื่อให้เป็นอาหารที่มีสภาวะง่ายต่อการบริโภค ที่เราท่านคุ้ยเคยกันมากก็มักจะได้แก่ ถั่วงอกหัวโต ทุกคนคงร้องอ๋อ…..ถั่วงอกหัวโตนั้น นัยว่านำมาผัดกับหมู เหยาะน้ำมันหอยลงไปนิด แซ่บอย่างบอกใคร แต่ใครจะรู้บ้างไหมว่าถั่วงอกหัวโตที่ว่านี้ก็เพาะมาจากถั่วเหลือง นอกจากถั่วงอกหัวโตแล้ว เต้าหู้เหลืองก็ดี เต้าหู้ขาวก็ดี หรือเต้าเจี้ยวเอย ซีอิ้ว และนมถั่วเหลืองที่กำลังจะพูดถึงต่อไปก็ล้วนแต่เป็นลูกหลานของถั่วเหลือง ทั้งสิ้น

ถั่วเหลืองนั้นมีคนกล่าวเสมอว่า เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดในอนาคต ถึงกับมีบางคนพูดเปรียบเปรยว่า ถั่วเหลืองเป็นอาหารโปรตีนของคนจน ทั้งนี้เพราะ คุณค่าทางอาหารของถั่วเหลือง และราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ทว่าความเป็นจริงแล้ว ถั่วเหลืองนั้นเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของมนุษย์นับแต่อดีตมาแล้ว จนถึงปัจจุบันและอนาคต ซึ่ง กำลังมีการคิดค้นทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร หากรรมวิธีมาดัดแปลงถั่วเหลืองและถั่วเขียวมาทำเป็นเนื้อเทียมให้เหมือน เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเนื้อปลา พูดถึงเรื่องนี้ พวกคนจีนที่กินเจหรือกินมังสวิรัติ คงรู้จักกันดีและต้องร้องว่า ฮ้อ! เป็นเสียงเดียว

ถั่วเหลืองมีโปรตีนประมาณร้อยละ 40 และมีไขมันร้อยละ 20 ที่เหลือจะเป็นพวกแป้ง วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์ดีทีเดียว ถ้าพิจารณาในด้านราคาต่อโปรตีนแล้วจะเห็นว่าถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 10 บาท หรือต่ำกว่า จะให้โปรตีน 400 กรัม ในขณะที่เนื้อหมูหรือเนื้อวัว 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 40 บาท จะให้โปรตีน 200 กรัม ถ้าจะให้ได้โปรตีนในปริมาณที่เท่ากันต้องซื้อเนื้อสัตว์ 2 กิโลกรัม ราคา 80 บาท ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าโปรตีนในถั่วเหลืองจะมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับโปรตีนในเนื้อสัตว์ ราคาโปรตีนในเนื้อสัตว์จะแพงกว่าโปรตีนในถั่วเหลืองถึง 10 เท่า

เมื่อ รู้จักถั่วเหลืองกันเป็นอย่างดีแล้ว ต่อไปนี้ละคือตอนสำคัญที่คุณผู้อ่านจะได้รู้จักนมถั่วเหลืองกันเสียที ว่าอย่างไรกันนะถึงได้บอกมาได้ว่า “นมเพื่อชนทุกชั้น”

“น้ำเต้าหู้” ใครไม่เคยกินคงไม่มีอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตละ และหากลองกินเข้าไปแล้ว “ครั้งเดียวไม่เคยพอ” พออีกทีไรคงต้องหม่ำกันอีก ท่านรู้ไหมว่า น้ำเต้าหู้ ก็คือ นมถั่วเหลืองที่พูดถึงอยู่นี่แหละ นมถั่วเหลืองเป็นอาหารที่แพร่หลายมานานในหมู่คนจีน โดยเรียกกันว่าน้ำเต้าหู้ ซึ่งสามารถเตรียมได้อย่างง่าย และมีคุณค่าทางอาหารดีพอสมควรที่จะได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลาย

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดๆ ของนมถั่วเหลืองก็คือ เป็นอาหารเสริมราคาถูกสำหรับคนทุกเพศทุกวัย นับ ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไปจนกระทั่งแก่ โดยควรที่จะดื่มวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ สำหรับคนที่เป็นไข้ที่เจ็บคอป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม จำเป็นต้องการอาหารมากขึ้นนมถั่วเหลืองก็จะเป็นอาหารเสริมที่ดีทีเดียว หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่ให้ลูกกินนมแม่ ก็ควรที่จะดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำเช่นกัน

ในเด็กหรือผู้ใหญ่ ที่มีโรคท้องเสียหรือผู้ใหญ่ที่ฟื้นจากการเจ็บป่วย ถ้าให้ดื่มนมวัวอาจจะทำให้เกิดท้องเสียได้ เพราะขนาดน้ำย่อยที่จะย่อยแป้งในนมวัว แต่ถ้าให้ดื่มนมถั่วเหลืองแล้วจะไม่มีปัญหาการย่อย การดูดซึม ทำให้คนไข้ฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยเร็วขึ้น
การ ทำนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้นั้น ไม่ใช่ของยากเย็นอะไรเลย อาจทำได้ที่บ้าน หรือถ้าทำจนฝีมืออยู่ตัวอาจจะทำขายได้ ในโรงพยาบาลก็ทำได้ง่าย เพราะมีเครื่องมือและบุคลากรพร้อม ส่วนวิธีการทำนั้นก็มีอย่างง่ายๆ ดังนี้

1.กะปริมาณที่จะทำเสียก่อนด้วย การกะสัดส่วนของถั่วเหลือง น้ำตาลทรายและน้ำตามสูตรการทำของสากลนิยมคือ 1 ต่อ1ต่อ 10 โดยถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม จะต้องการน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมและน้ำ 10 ลิตร ถ้าเตรียมที่บ้านก็คงจะใช้ถั่วเหลืองและน้ำตาลทรายอย่างละหนึ่งถ้วยแก้ว ซึ่งจะเตรียมนมถั่วเหลืองได้ถึง 10 ถ้วยแก้ว

2.แช่ถั่วในน้ำ เมื่อกะปริมาณถั่วได้แล้ว ทำการเลือกเมล็ดอ่อนหรือสิ่งแปลกปลอมที่ติดมากับถั่วออก จากนั้นล้างถั่วให้สะอาดด้วยน้ำสักหนึ่งหรือสองครั้ง แล้วแช่ถั่วในน้ำให้ข้ามคืนหรือถ้าจะทำให้เสร็จในวันเดียวกัน ก็ต้องแช่ถั่วในน้ำร้อนประมาณ 2 ชั่วโมง

3.บดถั่ว นำถั่วที่แช่น้ำแล้วมาบดให้ละเอียด วิธีการบดนั้นทำได้หลายอย่างนับตั้งแต่การใช้โม่หิน การใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า การใช้ครกตำข้าว ก็แล้วแต่ความสะดวก ถนัด และตามกำลังทรัพย์ของท่านจะพิจารณาเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเอาเถิด

4.ทำการคั้นนมถั่วเหลือง นำถั่วที่บดแล้วมาละลายในน้ำอุ่น แล้วคนจนถั่วถึง จากนั้นกรองผ่านผ้ากรองประมาณ 2-4 ชั้น เพื่อที่จะได้นมถั่วเหลืองที่ไม่มีกากถั่วเลย กากถั่วจะทำให้นมถั่วเหลืองไม่อร่อย เพราะมีความสากจากกาก การที่ใช้น้ำอุ่นในการละลายถั่วที่บดแล้วก็เพื่อจะให้มีการละลายตัวได้ดี จะได้สกัดอาหารได้มากๆ ถ้าจะให้ดีควรจะละลายถั่วที่บดแล้วด้วยน้ำอุ่นแล้วคั้นเอาน้ำ จากนั้นเอากากที่ได้มาละลายน้ำอุ่นแล้วคั้นอีก 2-3 ครั้ง ก็จะได้นมถั่วเหลืองที่สกัดสารอาหารต่างๆ ออกมามาก แต่ปริมาณน้ำที่ใช้ทั้งหมดไม่ควรจะเกินสัดส่วนดังกล่าวแล้ว เดี๋ยวไม่ได้นมถั่วเหลืองสมใจ แล้วจะมาว่ากันไม่ได้นะ

5.จัดการต้ม โดย นำน้ำนมถั่วเหลืองที่คั้นได้มาต้มให้เดือดประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้สุก ไม่ควรใช้เวลาสั้นกว่านี้ เพราะถ้านมถั่วเหลืองไม่สุกอาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะมีสารบางอย่างที่ทำลายได้ด้วยความร้อน แต่ถ้าใช้ความร้อนไม่พอ จะทำให้คนดื่มคลื่นไส้และอาเจียนได้ นอกจากนี้การต้มนานกว่า 10 นาที จะทำให้กลิ่นถั่วเหลืองน้อยลงไปด้วย

6.ทำการเติมน้ำตาล เมื่อต้มนมถั่วเหลืองได้ประมาณ 10 นาที คือ ต้มจวนๆ จะเสร็จ ก็ให้เติมน้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้แล้วลงไปตามสัดส่วนข้างต้นที่ บอกไว้แล้ว คนจนน้ำตาลทรายละลายหมดก็เป็นอันใช้ได้ ที่ให้เติมน้ำตาลทรายในตอนท้ายๆ ก็เพราะว่าน้ำตาลทรายถ้าต้มนานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ทำให้นมถั่วเหลืองมีสีน้ำตาลไปด้วย คนดื่มบางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะทั่วๆ ไปแล้วแทบทุกคนชอบนมถั่วเหลืองที่มีสีขาวนวล

7.ขั้นนี้สำคัญมากก็คือ การดื่ม นม ถั่วเหลืองที่เตรียมเสร็จแล้ว จะดื่มร้อนๆ หรือเย็นก็ได้ แล้วแต่จะชอบ แต่มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรเก็บนมถั่วเหลืองนี้ข้ามคืน เพราะอาจจะเกิดการบูดเน่าได้ ถ้าจะทำให้คนไข้ในโรงพยาบาลหรือทำขาย ควรจะทำทุกๆ วัน

ที่เกิดการบูดเน่าขึ้น ก็เพราะถั่วเหลืองที่นำมาใช้อาจจะมีเศษดินหลงเหลืออยู่ด้วย แม้จะล้างให้สะอาดแล้วก็ตาม เชื้อแบคทีเรียบางอย่างที่มีอยู่ในดิน จะมีเยื่อหุ้มทำให้ทนความร้อนและจะสามารถเติบโตได้เมื่ออุณหภูมิรอบๆ ตัวลดลง ทำให้เกิดการบูดเน่าได้ ฉะนั้นจึง ไม่ควรเก็บนมถั่วเหลืองเกิน 24 ชั่วโมง

อย่าง ไรก็ดี หากสังเกตแล้วน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองที่มีขายในตลาด มักจะเจือจางกว่าที่กล่าวข้างต้นเพราะโดยมากจะเตรียมจากถั่ว น้ำตาล และน้ำในสัดส่วน 1 ต่อ 1 ต่อ 15 ทำให้นมถั่วเหลืองดูเละ และมีกลิ่นถั่วน้อยลง เรื่องนี้ก็คงเกี่ยวกับหัวการค้าของพ่อค้านั่นเอง ทำให้เสียสถาบันถั่วเหลืองและน้ำนมถั่วเหลืองหมด
แต่ว่ากันไปแล้ว ขณะนี้น้ำเต้าหู้หรือน้ำนมถั่วเหลืองมีแพร่หลายพอสมควร แต่ควรจะมีให้แพร่หลายมากขึ้น เพราะประเทศไทยสามารถปลูกถั่วได้เอง ราคาก็ไม่แพง ทุกชุมชนควรจะมีนมถั่วเหลืองจำหน่ายให้คนไทยทุกๆ คนดื่มนมถั่วเหลืองเช้า-เย็นจนเป็นนิสัย ซึ่งจะดีกว่าการดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลมเป็นไหนๆ นมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะให้โปรตีนประมาณ 5 กรัมซึ่งใกล้เคียงกับไข่ 1 ฟอง นอกจากนี้ยังได้กำลังงาน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ อีกด้วย
โรงพยาบาลหลายแห่ง นับตั้งแต่โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ได้มีการทำนมถั่วเหลืองเพื่อเป็นเครื่องดื่มอาหารเสริม สำหรับคนไข้และใช้นมถั่วเหลืองในการรักษาโรคท้องเสีย ซึ่งได้ผลดีมาก

เนื่อง จากนมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่สามารถเตรียมได้ทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย ราคาถูก มีคุณค่าทางโภชนาการดีมากจึงสมควรที่จะได้รับการสนับสนุนให้มีการดื่มอย่าง แพร่หลาย บางคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นถั่วในระยะแรกๆ แต่พอเคยชินแล้ว ก็มักจะชอบ กากถั่วที่ได้ก็สามารถนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น ทำหลน ทำน้ำพริก ขนมผิง ขนมคุกกี้ เป็นต้น

ถ้าคนไทยทุกๆ คนดื่มเป็นนิสัยแล้ว ประโยชน์ที่เกิดขึ้นคงมีมาก คงจะเป็นวิธีการอันหนึ่งที่ส่งเสริมให้มีการทำนมถั่วเหลืองทุกๆระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาล เพื่อให้มีการดื่มอย่างแพร่หลาย และยังช่วยส่งเสริมนโยบายประหยัดของรัฐบาลอีกด้วย เพราะดีกว่าจะไปดื่มนมวัวที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่า และมีปัญหามากกว่าหากกรรมวิธีการผลิตผิดพลาดผู้ดื่มก็มีหวังต้องหายาแก้ท้องเสียไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ เมื่อนมถั่วเหลืองมีราคาถูกกว่าก็ย่อมให้คนที่มีรายได้น้อย สามารถซื้อหามาดื่มบำรุงสุขภาพของตนได้โดยไม่น้อยหน้าคนมั่งมีนมถั่วเหลืองจึงสามารถบริการชนทุกระดับประทับใจ และให้ประโยชน์ได้โดยทั่วถึงกัน อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่านมเพื่อชนทุกชั้นได้อย่างไร

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เลือดกำเดามาจากไหน?

ถึงแม้อุณหภูมิในหน้าร้อนจะสูงขึ้นสักเพียงไหน ก็ไม่เคยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความซนของเจ้าตัวแสบได้แม้แต่น้อย แต่…อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวเล็กก็ร้องไห้จ้า เพราะตกใจที่จู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกจากจมูก คุณแม่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตามลูกไปนะคะ เพราะหน้าร้อนแบบนี้ เด็กๆ เขาก็อาจมีเลือดกำเดาไหลกันได้บ้าง


สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล
1.ในเด็กผนังเยื่อบุโพรงจมูกจะบาง เมื่อเล่นกลางแจ้งนานๆ อุณหภูมิในร่างกายลูกจะสูงขึ้น เส้นเลือดฝอยเล็กๆ อาจเกิดการฉีกขาดทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้
2.เกิดการกระทบกระเทือน เช่น วิ่งชน หกล้ม หรือแม้แต่การแคะแกะเกาจมูกของเจ้าตัวเล็ก ก็อาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้
3.ร่างกายขาดวิตามินซี ก็อาจทำให้เลือดกำเดาออกง่ายได้
4.อาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ทางเดินหายใจอักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ต้องรักษาตามอาการ
5.ถ้าเลือดกำเดาไหล พร้อมกับมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำๆ ตามตัว ควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคเลือด เช่น ลูคีเมีย


วิธีปฐมพยาบาล
โดยทั่วไปเลือดกำเดาจะหยุดไหลได้เองภายในไม่เกิน 5 นาที ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการให้ลูกได้โดยใช้กระดาษชำระม้วนเป็นแท่งเล็กๆ อุดในรูจมูก ให้ลูกนั่งตัวตรงศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ และหายใจทางปาก

หาผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณจมูก เพื่อทำให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลเร็วขึ้น และส่วนหนึ่งช่วยลดอุณหภูมิร้อนในร่างกาย


ป้องกันไว้ก่อน
1.หลีกเลี่ยงการพาลูกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งนานๆ เมื่ออากาศร้อนจัดก็แวะพักในร่มหรือตามใต้ต้นไม้บ้าง อุณหภูมิในร่างกายจะได้ไม่สูงมาก เพราะอากาศร้อน นอกจากจะทำให้เลือดกำเดาไหลได้แล้ว ลูกอาจเป็นไข้ได้
2.อย่าแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรงๆ
3.เสริมอาหารวิตามินซีสูง อาจนำมาประยุกต์เป็นเครื่องดื่มผลไม้ปั่น เช่น น้ำส้มปั่น สับปะรดปั่น หรือเต้าฮวยฟรุตสลัด ให้ลูกเป็นของว่างสำหรับหน้าร้อนนี้

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ช็อกโกแลตอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง




ใครที่ชอบให้สัตว์เลี้ยงกินช็อกโกแลตเป็นอาหาร ทราบหรือไม่ว่าอาจส่งผลร้ายต่อสัตว์เลี้ยงได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...


ช็อกโกแลตมีส่วนผสมของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับพวกกาเฟอีน สารตัวนี้เมื่ออยู่ในร่างกายจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นชัดคือ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า อะดรีนาลิน ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก สำหรับการที่คนเรารับประทานแล้วไม่เป็นอะไร เพราะร่างกายมีต่อมเหงื่อช่วยระบาย แต่สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขร่างกายไม่สามารถกำจัดสารนี้ออกมาจากร่างกายอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เมื่อสุนัขกินเข้าไปมากจะเกิดอาการท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และที่สุดสามารถถึงตายได้


รู้อย่างนี้แล้ว ก็ระวังอย่าให้สัตว์เลี้ยงกินช็อกโกแลตมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงได้...

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขนมไทยหายาก

ขนมสามเกลอ

เป็น ขนมเสี่ยงทายในพิธีแต่งงาน ถ้าขนมยังติดกันทั้ง 3 ลูกในขณะที่ทอด หมายความว่า คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานจะอยู่ด้วยกันดี ตลอดจนมีลูกด้วยกัน แต่ติดกันอยู่เพียง 2 ลูก หมายความว่า มีลูกยากหรือไม่มี ถ้าแยกหรือหลุดออกทั้ง 3 ลูก หมายความว่า อยู่ด้วยกันไม่ยืด

ขนมชนิด นี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นไส้ที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าว มะพร้าวขูด และงา แล้วเอามาหุ้มด้วยแป้งข้าวเหนียว ส่วนที่สอง ทำจากไข่ไก่ (อาจจะใส่สีผสมอาหารด้วย เพื่อเพิ่มความสวยงาม) ที่นำมาโรยบนกระทะเป็นแผ่นบางๆ เพื่อนำมาห่อตัวขนม

ขนมโพรงแสม

ขนม ชนิดนี้ใช้ในพิธีแต่งงาน โดยแทนเสาบ้านเสาเรือน เพื่อให้คู่บ่าวสาวอยู่กันยั่งย ืนและร่ำรวย ลักษณะคล้ายๆขนมทองม้วน แต่ขนมชนิดนี้จะมีความแตกต่างอยู่ตรงที่มีน้ำตาลเคลือบพันร้อยอยู่ที่ตัวขนม

เมื่อตัวขนมได้ถูกบดขยี้กับฟันและลิ้นที่สัมผัสรส จะให้ความรู้สึกกรุบกรอบน่ากัดกิน ผสมกับความหวานของน้ำตาลที่เคลือบขนมอย่างลงตัวไม่ที่ไม่หวานมากนัก ก็ยิ่งทำให้ขนมชนิดนี้เหมาะสำหรับการกินเล่น กับน้ำชาตอนบ่าย

ขนมหม้อตาล

เป็นขนมโบราณ ที่ใช้ในพิธีแต่งงาน เรียกว่า "หม้อเงิน หม้อทอง"

- ตัวถ้วยขนม ผสมแป้งสาลี น้ำเย็น ไข่แดง กรุแป้งในพิมพ์หม้อตาล อบให้สุก
-ไส้ ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำเคี่ยวให้ข้น ตักใส่ถ้วย หยดสีตามต้องการ หยอดลงในพิมพ์ ให้น้ำตาลแห้ง


ดู จากลักษณะภายนอกดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก หลากสีสันชวนน้ำลายสอ เมื่อลองลิ้มชิมรสเนื้อแป้งของขนมที่กรอบจะเข้ากันดีกับตัวน้ำตาลที่หวาน กำลังดี


ขนมพันตอง


แบ่ง เป็น 2 ส่วน แยกเป็น 2 ห่อ ห่อแรกคือส่วนผสมของไส้ ประกอบด้วยมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊บ แล้วนำมาปั้นเป็นก้อน อีกห่อประกอบด้วย หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาล แล้วตักใส่ห่อ เพื่อความอร่อยยิ่งขึ้นควรจะรับประทานพร้อมกัน เพราะตัวแป้งและตัวไส้จะอร่อยกลมกล่อมอย่างลงตัว


ขนมพระพาย


เป็น ขนมที่ใช้ในพิธีแต่งงานใช้แป้งข้าวเหนียวนวดกับน้ำดอกมะลิ ใส่สีต่างๆ เพื่อหุ้มไส้ ที่ประกอบด้วยถั่วเขียวเลาะเปลือกที่บดละเอียด ผสมกับกะทิ และน้ำตาล ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เมื่อหุ้มเสร็จแล้ว นำมาวางบนใบตองที่ตัดเป็นกลม ๆเมื่อนึ่งสุกแล้ว พรมด้วยหัวกะทิ เมื่อดูจากลักษณะภายนอกอาจจะดูคล้าย ขนมช็อกโกแลตชนิดหนึ่งที่กลมๆ เงาๆมันๆ น่ากัด น่ากิน


ขนมเทียนแก้ว

หรือ ขนมนมสาว เปรียบเสมือนแสงสว่าง ลักษณะ ที่สวยถูกต้อง ต้องปลายแหลม และฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส วางได้โดยไม่เสียรูปทรง ทำจากถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก กวนกับกะทิและน้ำตาลทราย อบด้วยควันเทียน ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ นำแป้งถั่วเขียว หรือแป้งซ่าหริ่ม กวนกับน้ำตาลทราย และน้ำลอยดอกมะลิ

ขนมชนิดนี้จะให้กลิ่นหอมสดชื่นน่ากินของควันเทียนและน้ำลอยดอกมะลิที่อบอวลอยู่ในเนื้อ


ขนมตะลุ่ม

มี สองส่วน คือส่วนตัวขนม ทำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้งมันสำปะหลัง น้ำปูนใส และหางกะทิ นำไปนึ่งจนสุก ส่วนของตัวหน้า ได้แก่ หัวกะทิ ไข่ และน้ำตาล ใส่แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย แล้วเทลงบนตัวที่สุกแล้ว นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำหรือลักษณะตามชอบ เวลาจะรับประทานควรรับประทานพร้อมกันเพราะให้รสชาติที่หวาน มัน และมีกลิ่นหอมของกะทิยามรับประทานในคำเดียวกัน


บุหลันดั้นเมฆ


ลักษณะ ของขนมจะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ เป็นขนมชาววังคิดประดิษฐ์ขึ้น ให้มีสีสันอุปมาอุปไมยเลียนแบบเพลงไทย 'บุหลันลอยเลื่อน' ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2


มี 2 ส่วน คือ ส่วนตัวขนม ทำจากแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย หยอดลงบนถ้วยตะไล เมื่อนำไปนึ่งตรงกลางจะบุ๋มลงไป ส่วนตัวหน้าขนม ประกอบด้วย ไข่ กะทิ น้ำตาลมะพร้าว และนำไปนึ่งต่อจนสุก
เมื่อรับประทานจะให้ความรู้สึกถึงความหอมหวานของน้ำดอกอัญชันกับกลิ่นน้ำตาลมะพร้าว



เห็ดโคน

ทำ จากไข่ขาวตีกับน้ำตาลทรายป่นจนตั้งยอด ใส่น้ำมะนาวเพื่อให้ไข่ไม่เหลว นำกระดาษขาวหนา ๆ มาม้วนเป็นกรวย ใส่น้ำตาลที่ตีแล้ว บีบกลม ๆ เป็นหัวเห็ด แล้วบีบยาว ๆ เป็นก้านเห็ด นำไปอบ พอสุกแล้วนำส่วนหัวมาเจาะตรงกลาง เพื่อติดกับตัวก้านเห็ดโดยใช้น้ำเชื่อม นำผงโกโก้ มาร่อนตระแกรงละเลงโรยบนหัวเห็ด

สำหรับคนชอบกินเห็ดอาจจะเข้าใจผิดก็ ได้เมื่อได้เห็นขนมชนิดนี้ เพราะคุณจะแยกไม่ออกว่าอันไหนเห็ดจริงอันไหนคือขนมเห็ด ส่วนเรื่องรสชาติจะออกหวานๆ เมื่อนำเข้าไปสัมผัสกับลิ้นแล้ว แทบจะละลายไปทันที (ป.ล.เห็ดโคน ไม่ใช่สโคน อิอิ)



เกสรชมพู่



ขนม ไทยโบราณ เมื่อได้มองครั้งแรกอาจจะคิดว่าขนมชนิดนี้คือ "ข้าวเหนียวแก้ว" แต่ถ้าพิศมองให้ดีจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะมีลักษณะแข็งกระด้างของข้าวเหนียว ส่วนเกสรชมพู่จะดูนุ่มนวล อ่อนโยน ที่ทำจากมะพร้าวขูดขาว ผัดกับน้ำและน้ำตาลทราย ใส่วุ้นกวนให้เข้ากันใส่สีชมพูแก่ แล้วตักใส่ถ้วย เรื่องรสชาติเกสรชมพู่จะมีความมัน ความหอมของมะพร้าว และมีความหวานเป็นเอกลักษณ์


หันตรา


หรือขนมฝอย เป็นขนมโบราณ ที่ใช้ในงานหมั้น ซึ่งแสดงถึงการตีตราจองว่าหญิงนั้นมีคู่หมั้นแล้ว ทำจากถั่วเขียวเลาะเปลือก ที่นำมากวนกับน้ำตาลทราย แล้ว ปั้นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ กดตรงกลางให้บุ๋มแล้วมาห่อด ้วยไข่ที่ทำเป็นตาราง ขนมชนิดนี้เป็นขนมอีกชนิดหนึ่งที่มีหน้าตาน่า รับประทาน เนื่องด้วยตัวของไส้ขนมและตัวไข่ที่นำมาหุ้มมีสีเหลืองทองที่เข้ากันอย่าง เหมาะเจาะ แลดูคล้ายขนมตระกูลทอง