วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Banana!! กล้วยสารพัดประโยชน์


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ...นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน

ความเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่น ปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย.... มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........

โรคโลหิตจาง ( Anemia) ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้

ความดันโลหิต ( Blood Pressure) กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

เสริมสร้างพลังสมอง ( Brain Power) ที่อังกฤษในแคว้น Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

อาการท้องผูก ( Constipation) เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี
เมาค้าง ( Hangovers) วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......

จุกเสียดแน่นท้อง ( Heartburn) กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

บรรเทาแผลยุงกัด ก่อนที่จะใช้ยาทา ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

ระบบประสาท ( Nerves) วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด.... อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงาน ทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชม. มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก

แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล ( Ulcers) สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น รวมทั้งกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็น เป็นต้น

ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้ เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน

ของหวาน ความอร่อยที่ต้องระวัง

เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความ หวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้น

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของ ที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติด ใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

เมื่อเด็กกินของหวานเข้าโดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมน อินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างคือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหา ไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยค ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอน ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของ หวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงแต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลย แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ

มีคนมักถามว่าผลไม้หวานๆล่ะกินได้มั้ย คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่างที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละของดี ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนคนวัยทำงาน รับมือโรคออฟฟิศซินโดรม

หากชีวิตประจำวันของคุณต้องนั่งทำงานในออฟฟิศทั้งวัน และไม่มีการออกกำลังกายเป็นประจำ ถ้ามีอาการปวดร้าวตามแขน ขา บ่า ไหล่ ที่ไม่หายขาด ให้ตั้งข้อสมมุติฐานได้เลยว่าอาจเป็นสาเหตุของโรค "ออฟฟิศ ซินโดรม" ซึ่งมักเกิดกับคนทำงานออฟฟิศที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม หรือประเภทนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ไม่ได้ขยับออกไปไหนเป็นชั่วโมงๆ ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยตามแขน ขา หลัง ไหล่ และที่น่าเป็นห่วงยิ่งนักคือ เจ้าโรคนี้จะทำให้เกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศตามมาอีกด้วย

นพ.ทายาท บูรณกาล ผู้อำนวยการศูนย์รักษากระดูกสันหลังกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ เผยปัจจุบันมักพบคนวัยทำงาน ที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศอย่างขะมักเขม้น ไม่มีเวลาออกกำลังกาย และพักผ่อนน้อย มีอาการปวดร้าวไปตามแขน ขา ซึ่งเกิดจากปัญหาของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะปัญหาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อแบบ Office Syndrome มีอาการคล้ายกับกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งโรคกระดูกสันหลังที่สามารถกดทับเส้นประสาทที่พบบ่อยในคนทำงาน ได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้น (HNP) ช่องกระดูกเสื่อมตีบทับเส้นประสาท (Spinal Stenosis) กระดูกเสื่อมทับไขสันหลังส่วนคอ (CSM) หมอนรองกระดูกเอวเสื่อม (DDD) กระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อนทับเส้น เป็นต้น

นพ.ทายาทกล่าวด้วยว่า ความผิดปกติอย่างหนึ่งของผู้มีกระดูกสันหลังเบียดทับเส้นประสาท นอกจากปัญหาปวดคอ ปวดหลังแล้ว ยังมีปัญหาในเรื่องการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยอาจเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดของเส้นประสาท ทำให้ความรู้สึกลดลง หรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ซึ่งอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่แฝงมากับโรคกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท มีทั้งไม่มีอารมณ์ทางเพศ นกเขาไม่ขัน หลั่งเร็วหรือหลั่งช้าผิดปกติ ฯลฯ เพราะกระดูกสันหลังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทต่างๆมากมาย รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ความรู้สึกต่างๆในร่างกาย ดังนั้นถ้ามีการทำลายของการทำงานระบบไขสันหลัง หรือการรบกวนการทำงานของไขสันหลัง จึงส่งผลทำให้เกิดการอ่อนแรงของแขนขา หรือแม้แต่การหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้

ส่วนการรักษานั้นในทางการแพทย์แล้วมีทั้งการรักษาแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วย ทางที่ดีถ้าสงสัยว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือหันมาใส่ใจและป้องกันไม่ให้เกิดโรคแต่เนิ่นๆ เช่น โต๊ะทำงานควรมีระดับพอดีกับข้อศอก จะได้กดคีย์บอร์ดถนัดๆ ตัวคีย์บอร์ดควรมีแป้นรองมือ เก้าอี้นั่งควรเป็นแบบที่ปรับขึ้นลงได้ และมีพนักพิงรองรับศีรษะ ที่สำคัญปรับนิสัยตัวเอง ถ้ารู้ว่านั่งหลังค่อม ก็ต้องนั่งหลังตรง หมั่นหยุดพักสายตา ลุกไปยืดเส้นยืดสายทุกๆครึ่งชั่วโมง เพื่อลดอาการตาแห้ง น้ำตาไหล เคืองตา ตามัว ปรับภาพได้ช้าลง ซึ่งเกิดจากการนั่งจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลกินเจ

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลืองๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว สำหรับเทศกาลกินเจ ปี 2551 เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 เดือนกันยายน ถึง วันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง

ความหมายของเจ

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว
ความหมายของ "ธงเจ"

ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคง สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต

ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

ช่วงเวลา 9 วันที่กินเจนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ถือศีลกินเจอย่างครบสมบูรณ์ตามประเพณี ต้องปฏิบัติตัวดังนี้

1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และทำอันตรายต่อสัตว์

2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์

3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด

4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่างๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

5. รักษาศีลห้า

6. ทำบุญทำทาน สำหรับคนที่เคร่งครัดจะนุ่งขาวห่มขาว

7. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์

สำหรับผู้ที่เคร่งครัดมากๆ จะทานอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นคนปรุงเท่านั้น รวมทั้งจะต้องล้างหม้อจนสะอาด แยกภาชนะสำหรับใส่เนื้อสัตว์ออก เพื่อปรุงอาหารเจเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับ เพื่อเป็นพุทธบูชา และรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด

ประโยชน์ของการกินเจ

การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณี และละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ

2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึก มีสุขภาพดี

3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์

4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่ สารเคมี ยาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ ได้

5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติ ในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฎโรครุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

6.การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่าย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ

7.หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

7 พันธุ์กล้วยไม้พระราชทานนาม


กล้วยไม้เป็นพืช ดอกที่มีความหลากหลายมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง มีการค้นพบชนิดใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อมีการค้นพบหรือผสมพันธุ์ใหม่ได้ จึงมีการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ หรือเป็นชื่อที่เป็นสิริมงคล และในโอกาสนี้ก็มีพันธุ์กล้วยไม้ที่ได้รับพระทานนามที่หาชมได้ยากมาให้รู้จักกัน...

กล้วยไม้แคทลียา ควีนสิริกิติ์ พระนามของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นกล้วยไม้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ฝักรูปทรงสามเหลี่ยม ออกดอกตลอดปี ลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์ Cattleya Bow Bells และต้นพ่อพันธุ์ Cattleya Obrieniana ซึ่งบริษัท Black & Flory Ltd. ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ผสมขึ้นและจดทะเบียนชื่อพันธุ์ว่า Exquisite เมื่อปี พ.ศ.2501 เป็นพันธุ์กล้วยไม้ที่ สวยงามมากจนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ (The Royal Horticultural Society) จึงได้มีการขอพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยของสมเด็จพระนาง เจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นชื่อกล้วยไม้พันธุ์ดังกล่าว และได้ขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2501

กล้วยไม้รองเท้านารีพริ้นเซสสังวาลย์ กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พันธุ์รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์ รองเท้านารีช่องอ่างทอง (Paph. godefroyae var. angthong) และต้นพ่อพันธุ์ รองเท้านารีดอยตุง (Paph. charlesworthii) โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง,โครงการพัฒนาดอยตุง,จ. เชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์ให้ ดอกครั้งแรกเมื่อ 1 ธ.ค.2545 ดอกมีสีขาวลายบานเย็นหรือบานเย็นเข้มทั้งดอกออก ส่วนใหญ่จะมี 1 ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ 6 ซม. ก้านช่อดอกสูงประมาณ 10 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ 2 ครั้ง ได้รับการขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อ 31 ธ.ค.2547

กล้วยไม้หวายพันธุ์ชมพูนครินทร์ ประทานนามโดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นกล้วยไม้ลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ บลัชชิ่ง (Dendrobium Blushing) และต้นแม่พันธุ์ เอริก้า (Dendrobium "Arica") นายสวง คุ้มวิเชียร แห่งแอร์ออร์คิด เป็นผู้พัฒนาพันธุ์ลักษณะ ดอกมีสีโอโรส (สีขาว อมชมพู อมส้ม) ปากดอกเป็นสีชมพูแดง สวยงามและคงทน เป็นกล้วยไม้ที่นิยมนำมาประดับชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก ลักษณะพิเศษคือ เมื่อสะท้อนแสงไฟจะเห็นเกล็ดเงินระยิบระยับอ่อนๆ แฝงอยู่ในกลีบดอก ในช่วงอากาศหนาว ดอกจะเปลี่ยนสีเป็นสีโอโรสเข้มจัดทั้งดอก ต้นกล้วยไม้พันธุ์นี้มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 30-40 ซม. ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า 3 ครั้งต่อปี


กล้วยไม้แอสโคเซ็นดา สุคนธรัศมิ์ พระราชทานนามโดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นแอสโคเซ็นดาลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์ คือ แวนดาสามปอยขุนตาล (Vanda denisoniana) และต้นพ่อพันธุ์ คือ แอสโคเซ็นดา คุณนก (Ascocenda Khun Nok) โดย นายปริยุตต์ ยุวานนท์ (บริษัท สากลออร์คิดส์) ผู้พัฒนาพันธุ์และเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานชื่อพันธุ์กล้วยไม้ ซึ่งบริษัทสากล ออร์คิด ได้ทูลเกล้าถวายเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 พระราชทานชื่อว่า "สุคนธรัศมิ์" แปลว่ามีกลิ่นหอมอบอวลจรุงใจ ตามพระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2551 ได้รับการขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 พ.ศ.2551 ลักษณะดอกมีขนาดประมาณ 1.5 นิ้ว กลีบดอกส่วนปลายเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมนุ่มนวล กลิ่นจะหอมมากในช่วงเช้า และหอมตลอดทั้งวัน ออกดอกตลอดทั้งปี


กล้วยไม้เอื้องศรีเชียงดาว พระราชทานนามโดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นกล้วยไม้ดิน สูง 10-25 ซม. แผ่นใบรูปไข่กว้าง มีเส้นใบขนานตามยาวประมาณ 8-10 เส้น และมีจุดประสีแดงอมม่วงทั่วไป ช่อดอกสูง 10-30 ซม. มีประมาณ 4-12 ดอก ดอก สีชมพูมีประ สีชมพูเข้ม กลีบข้างเป็นสีชมพูแกมขาว แผ่คล้ายหูค่อนข้างกลม สีเขียวแกมชมพู กลีบปากมีจุดประสีแดงหรือสีออกแดงแกมชมพูส่วนปลายแผ่เป็น 3 พูตื้นๆ ขนาดประมาณ 10-11 มม. เส้าเกสรเป็นก้อนใหญ่ งวงน้ำหวานเป็นหลอดยาวโค้ง ขนาดยาวประมาณ 11-14 มม. เป็นพืชชนิดใหม่พบเฉพาะที่ดอยเชียงดาว ในประเทศไทย ที่ระดับความสูง 1,800-2,000 ม. ดอกบานช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย.


กล้วยไม้ฟาแลนนอพซิส พรินเซสจุฬาภรณ์ กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณอัครราชกุมารี เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาได้ทูลเกล้าถวาย นามว่า "ฟาเลนนอพซิส พรินเซส จุฬาภรณ์" (Phalaenopsis Princess Chulabhorn) ซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ของ Royal Botanical Garden Peradeniya ประเทศศรีลังกา เป็นลูกผสม Phalaenopsis Rose Miva กับ Phalaenopsis Kandy Queen ขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2543ลักษณะ ดอกมีขนาดดอกใหญ่ กลีบกว้างกลมมน เหมือนฟาเลนนอพซิสขนาดใหญ่พันธุ์อื่นๆ กล่าวคือ เส้นผ่าศูนย์กลางดอก ประมาณ 9 ซม. x 7.5 ซม. กลีบเลี้ยง (sepal) สองกลีบล่างยาวรี สีขาว มีจุดละเอียดสีเลือดหมูประอยู่ตั้งแต่โคนออกมาจนถึงบริเวณกึ่งกลางกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงกลีบบนที่เป็นรูปยาวรี กับกลีบดอก (petal) สองกลีบข้าง ที่เป็นรูปกลมใหญ่นั้น เป็นสีขาว โดยมีโคนกลีบเป็นสีชมพูอ่อน ซึ่งค่อยๆ จางเรื่อลงไปจนกลืนกับสีขาว ให้ความรู้สึกสวยงามนุ่มนวล


กล้วยไม้หวาย พันธุ์ "โสมสวลี" พระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เป็นลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ "คอมแพ็คตั้ม โบตาบลู" (Dendrobium compactum BotaBlue) และต้นแม่พันธุ์ "ขาวธนิดาไวท์" (Dendrobium "Thanida White") โดย นายสวง คุ้มวิเชียร (แอร์ออร์คิดส์) เป็นผู้ผสมพันธุ์ให้ ดอกครั้งแรกเดือนมกราคม 2546 ดอกมีสีม่วงครามอ่อน ดอกออกเป็นพวง และด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมาก จึงโดดเด่นและเหมาะสำหรับเป็นกล้วยไม้ประดับ ชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก เป็นกล้วยไม้ที่มีลายเส้นสีขาวอ่อนๆ แฝงอยู่ในกลีบดอกและมีคอดอกสีขาว เมื่อดอกเริ่มบานจะมีสีเข้มหลังจากดอกบานเต็มที่ทั้งช่อ สีม่วงของดอกจะสว่างขึ้น มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 40-50 ซม. ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า 2 ครั้งต่อปี และได้รับประทานนามจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2550