วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง?

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือ ต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)

2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ

3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์

4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

กล้วยหอม


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลย เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส..พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัย และภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน

1.โรคเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotoninสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

2.โรค pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดีๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย..... มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........

3.โรคโลหิตจาง (Anemia) ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ...)

4.ความดันโลหิต (Blood Pressure) กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

5.เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power) ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื ่นตัวอยู่เสมอ

6.อาการท้องผูก (Constipation) เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

7.อาการเมาค้าง (Hangovers) วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshakeโดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น

8.จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn) กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

9.Morning Sickness ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง....ฯลฯ ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

10.บรรเทาแผลยุงกัด ก่อนที่จะใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

11.ระบบประสาท (Nerves) วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด.. .

12.อ้วนจากทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไปทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วย หอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.. มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก

13.แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers) สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

14.ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็ นประจำเพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....

15.ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

หัวฝักบัว แหล่งสะสมเชื้อโรคที่ไม่ควรมองข้าม

ใครที่ใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่เป็นประจำต้องมาฟังทางนี้เลยนะคะ เพราะหากคุณไม่ระวัง อาจเป็นที่มาของโรคปอดในไม่ช้าแน่นอนค่ะ

เนื่องจากได้มีการสุ่มตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรคในหัวฝักบัวตามสถานที่ต่างๆ กว่า 9 เมือง พบว่าร้อยละ 30 มีเชื้อมัยโคแบคทีเรียม เอเวียม ปนเปื้อนอยู่มาก ตามปกติเชื้อตัวนี้พบในน้ำประปาทั่วไป แต่สะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าระดับที่พบในน้ำประปาถึง 100 เท่า ซึ่งหากผู้ใช้เปิดให้น้ำจากฝักบัวโดนหน้าตั้งแต่ครั้งแรก จะทำให้ได้รับเชื้อดังกล่าวสูงมาก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดตามมา

จากการตรวจพบอีกว่าในฝักบัวแบบที่เป็นโลหะจะพบการสะสมของเชื้อโรคน้อยกว่าแบบพลาสติก ดังนั้นการแก้ไขผู้ใช้ก็ควรเปลี่ยนหัวฝักบัวมาใช้แบบโลหะที่มีตัวกรองช่วยในการลดการสะสมของเชื้อโรค หรือเปลี่ยนไปอาบน้ำในอ่างแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าสู่ปอดได้เช่นกัน

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

ถั่วเขียว อาหารสำหรับหน้าร้อน

อากาศร้อนหลังทำงานเหน็ดเหนื่อย กินถั่วเขียวต้มสักชามก็จะรู้สึกชุ่มฉ่ำใจ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี

ถ้านอนดึกมีอาการร้อนใน หรือตาแดง เจ็บคอ ท้องผูก ถ้าต้มถั่วเขียวกินก็จะทำให้อาการดังกล่าวหายไป เราสามารถเลือกกินได้ทั้งร้อนหรือเย็น หวานหรือจืดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล

หน้าร้อนผิวหนังมักเป็นผดผื่นคัน ใช้ถั่วเขียว ใบบัว และน้ำตาลทราย ต้มกินน้ำ ก็จะทำให้อาการผดผื่นคันบรรเทาและหายไป หรือจะเอาถั่วเขียวที่ต้มแล้วพอกบริเวณผดผื่นคัน ก็จะทำให้หายเร็วขึ้น หน้าร้อนต้มถั่วเขียวกิน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เนื่องจากในหน้าร้อน เมตาโบลิซึมของร่างกายสูง ทำให้เหงื่อออกมาก ร่างกายสูญเสียพลังงานไปมาก ถั่วเขียวนอกจากจะสามารถแก้ร้อน ลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายสดชื่นและขับปัสสาวะแล้ว ถั่วเขียวยังอุดมไปด้วยโปรตีนกลุ่มวิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น

แป้งที่ทำจากถั่วเขียว แก้ร้อนใน ฝี และแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เปลือกหุ้มเมล็ด (สีเขียว) มีสรรพคุณรักษาโรคตาต่างๆ เช่น ตาแดง ตาอักเสบ

ถั่วงอกจากถั่วเขียว หรือดอกต้นถั่วเขียว แก้อาการเมาเหล้า ใบถั่วเขียวตำให้แหลกคั้นน้ำ เติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย ทำให้อุ่น แก้กินน้ำ แก้อาการอาเจียนและท้องเดิน

สรรพคุณ
ถั่วเขียว แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับปัสสาวะ รักษาฝี

เปลือก (สีเขียว) แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ตาสว่าง รักษาตาอักเสบ

ถั่วงอก แก้พิษเหล้า

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

เล่นน้ำสงกรานต์ให้ปลอดภัยจากปรสิต

“ปรสิต”หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นและบางครั้งทำอันตรายสิ่งมีชีวิต ให้เจ็บป่วยหรือถึงเสียชีวิต ตัวอย่างของปรสิต เช่น หนอนพยาธิและโปรโตซัวที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ ปรสิตที่พบได้ในแหล่งน้ำ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. ปรสิต ที่อาศัยในลำไส้ซึ่งออกมากับอุจจาระของคนหรือสัตว์ แล้วปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ปรสิตในกลุ่มนี้จะติดต่อสู่ร่างกายโดยการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด หรือการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนปรสิต ปรสิตในกลุ่มนี้ ได้แก่ ปรสิตจำพวกโปรโตซัว และปรสิตจำพวกหนอนพยาธิ

2. โปรโตซัวจำพวกอะมีบาที่อาศัยเป็นอิสระในธรรมชาติตามดิน โคลน และแหล่งน้ำ เมื่อคนได้รับเชื้อโดยบังเอิญจะก่อโรคในคนได้
โรคที่เกิดจากปรสิต ปรสิตที่พบได้ในแหล่งน้ำ อาจทำให้เกิดโรคหรืออาการดังนี้
*คริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium) เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงโดยเฉพาะในผู้ป่วยเอดส์ ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันปกติจะรุนแรงและหายได้เอง แต่ในผู้ป่วยเอดส์จะรุนแรงและเรื้อรังถึงเสียชีวิตได้

*ไกอาร์เดีย (Giardia) ระยะที่พบในน้ำเป็นระยะซีสต์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายเชื้อจะออกจากซีสต์ แล้วญเติบโตเป็นระยะโทรโฟซอยต์ในลำไส้เล็ก ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงเป็นน้ำหรือมีไขมันปน ในผู้ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรังอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้

*เอนทะมีบา (Entamoeba) ระยะที่พบในน้ำเป็นระยะซีสต์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายเชื้อจะออกจากซีสต์ แล้วเจริญเติบโตเป็นระยะโทรโฟซอยต์ ทำให้เกิดแผลที่ลำไส้ใหญ่ ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นมูกปนเลือด กลิ่นเหม็นเน่า อาจก่อโรคนอกลำไส้ได้ เกิดฝีบิดที่ตับ ปอด และสมองได้

*ไมโครสปอริเดีย (microsporidia) ระยะสปอร์มีขนาดเล็กมาก ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นน้ำ และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วงเรื้อรังในผู้ป่วยเอดส์

*ไอโสสปอรา (Isospora) ทำให้เกิดอาการท้องเสียเป็นน้ำ การติดเชื้อในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง ไข่ของพยาธิตืดหมู ที่ปนเปื้อนในน้ำดื่มหรืออาหารที่รับประทานเข้าไป ทำให้เกิดโรคซีสติเซอร์โคสิส (cysticercosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตืดหมูระยะตัวอ่อน (cysticercus) ไป อยู่ตามกล้ามเนื้อและผิวหนัง พยาธิระยะตัวอ่อนอาจก่อโรคที่ตาและทำให้ตาบอดได้ ส่วนการก่อโรคที่สมองทำให้เกิดอาการทางสมองและชักได้รุนแรง

*นีเกลอเรีย (Naegleria) เป็นอะมีบาที่พบในแหล่งน้ำจืด รวมทั้งน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ตามปกติเชื้อนี้อาศัยเป็นอิสระในธรรมชาติ คนได้รับเชื้อโดยบังเอิญโดยการสำลักน้ำทางจมูก เชื้อจะเข้าสู่โพรงจมูกแล้วผ่านเข้าสู่สมอง ทำให้เกิดโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีไข้ คัดจมูก สูญเสียการรับกลิ่น ปวดศีรษะอย่างมาก คอแข็ง หลังแข็ง คลื่นไส้ อาเจียน ซึมลง ชัก และหมดสติ ผู้ติดเชื้อนีเกลอเรียมักเสียชีวิตหลังจากเริ่มปรากฏอาการภายใน 7 วัน

*อะแคนทะมีบา (Acanthamoeba) เป็นอะมีบาที่พบในแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำทะเล และน้ำเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม ตามปกติเชื้อนี้อาศัยเป็นอิสระในธรรมชาติ คนได้รับเชื้อโดยบังเอิญ การติดเชื้ออะแคนทะมีบาที่ระบบหายใจทำให้ปอดอักเสบ การติดเชื้อทางบาดแผลทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดแกรนูโลมา ส่วนการติดเชื้อที่กระจกตาซึ่งมักพบในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ปวดตา ตาแดง ตามัว กลัวแสง ถ้าเชื้อลุกลามมากอาจทำให้ตาบอดได้ เมื่อเชื้ออะแคนทะมีบาเข้าสู่กระแสเลือดอาจก่อโรคสมองอักเสบ ซึ่งมักทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

การโดนสาดด้วยน้ำที่ไม่สะอาด ต้องอาบน้ำชำระร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาด ถ้าน้ำไม่สะอาดเข้าดวงตา ต้องล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ถ้าน้ำเข้าบาดแผล ต้องล้างแผลฟอกด้วยสบู่หลายๆ ครั้งแล้วล้างน้ำให้สะอาด เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคให้เหลือน้อยที่สุด และทาแผลด้วยยาโพวิโดน-ไอโอดีน

ปลอดภัยในการเล่นน้ำสงกรานต์ ไม่ควรเล่นสาดน้ำกันอย่างรุนแรง ควรใช้น้ำประปาหรือใช้น้ำที่สะอาดเล่นสงกรานต์ ต้องระมัดระวังตนเองไม่ให้สำลักน้ำ เพื่อป้องกันเชื้อโรคและปรสิตที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำ สำหรับผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง ต้องระมัดระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ และไม่ควรปล่อยให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกน้ำเป็นเวลานานๆ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล


ป้องกันมะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ...

นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้

วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย

นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ