วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สบู่ฆ่าเชื้อโรคจำเป็นจริงหรือ


อย่างที่รู้ว่าโลกเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรค พอเห็นโฆษณาว่ามี "สบู่ฆ่าเชื้อโรค" ช่วยปกป้องผิวจากแบคทีเรียได้นานเป็นพิเศษ เราก็นึกอยากซื้อมาใช้แทบจะทันที จริงๆแล้ว...สบู่ฆ่าเชื้อโรค อย่างที่ว่ามันจำเป็นและดีจริงๆหรือ

นักวิจัยชื่อ นายแพทย์ Eli Perencevich จาก Beth Israel Deaconess Medical center ในบอสตัน ปฏิเสธว่า "ไม่จริง" เพราะสารต้านแบคทีเรียที่ถูกเติมลงในสบู่อาจฆ่าเชื้อโรคได้ แต่เมื่อใช้ติดต่อกัน แบคทีเรียจะเกิดการกลายพันธุ์ และเจ้าพันธุ์ใหม่นี้ฉลาดกว่าสารที่ฆ่ามันด้วยซ้ำ เพราะมันจะต่อต้านหรือ "ดื้อยา" นั่นเอง

โดยธรรมชาติบนผิวหนังของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่หลายชนิด ทั้งตัวที่ดีและตัวร้าย แบคทีเรียจะควบคุมกันเอง เมื่อเราฆ่าแบคทีเรียนั่นหมายถึงแบคทีเรียตัวที่ดีซึ่งคอยปกป้องผิวเราก็ พลอยโดนกำจัดไปด้วย ผิวหนังเสียสมดุลย์ และทำให้เกิดการแพ้และแห้งผากได้ง่าย

สารฆ่าเชื้อโรคที่ถูกเติมลงในสบู่ซึ่งเราคุ้นชื่อกันดี ก็คือ ไตรโคซานหรือไตรโคคาบาล เวลาเลือกซื้อสบู่ก็ลองสังเกตดูที่ฉลากว่าสบู่ยี่ห้อนั้นมีสารต้านแบคทีเรีย ประเภทนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุมารแพทย์บางคนไม่แนะนำให้ใช้สบู่ฆ่าเชื้อโรคกับเด็ก เพราะมันแรงเกินไปสำหรับผิวบอบบาง

สำหรับคนทั่วไป วิธีที่จะป้องกันแบคทีเรียหรือเชื้อโรคไม่ให้เข้ามากล้ำกรายคุณโดยไม่ต้อง ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้ง่ายดาย จำคำที่แม่เคยสอนตั้งแต่ตอนเป็นเด็กได้ไหม "ล้างมือก่อนกินข้าวนะลูก" นั่นแหละใช้ได้

"ล้างมือ" เป็นวิธีที่ง่ายถูกและดีที่สุดในการป้องกันเชื้อโรค เพราะเชื้อโรคสามารถติดต่อถึงกันได้ง่ายๆ เพียงแค่คนที่เป็นพาหะไปจับต้องวัตถุ แล้วบังเอิญคุณไปจับต่อ แล้วมาหยิบอาหารเข้าปาก ขยี้ตาหรือจมูกด้วยมือที่สกปรกนั่นเอง โดยเฉพาะในเด็กๆที่ภูมิต้านทานโรคยังน้อย

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม

อาจจะถึงเวลาที่ต้องเพิ่มมะม่วงในรายชื่ออาหารชั้นเยี่ยมเพราะนอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วยและในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกันหรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

การศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย

จากผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?

สำหรับประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

น้ำมะพร้าว... มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ(Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

ชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย(คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์(Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัยเพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวานไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้วยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลังบำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้

น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ คุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรหรือไม่

การที่เรามีฟันครบอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ก็สามารถทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ดีละเอียดขึ้น จะทานอะไรมันก็อร่อย ระบบบดเคี้ยวที่ดีต้องมีความสมดุล ซึ่งจะสัมพันธ์กันแค่ ฟัน ขากรรไกร และกล้ามเนื้อที่ขยับขับเคลื่อนขากรรไกร ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดผิดปกติ ระบบบดเคี้ยวก็เสียหายด้วย การเคี้ยวข้างเดียวก็เป็นประเด็นหนึ่งที่โยงไปถึงการด้อยประสิทธิภาพในการบด เคี้ยวและมีผลข้างเคียงหลายๆอย่าง

ทำไมถึงเคี้ยวข้างเดียว
1. มีปัญหาที่ตัวฟันข้างนั้น เคี้ยวแล้วเศษอาหารติด,เคี้ยวแล้วเจ็บ จึงย้ายไปเคี้ยวอีกข้าง,ฟันผุที่ไม่ได้อุด,ฟันที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ,โยก คลอน,ฟันร้าว,ฟันแตก,ฟันเหลือแค่ราก ลักษณะอย่างนี้ที่ทำให้ฟันทำหน้าที่ไม่เต็มที่ คนใช้จึงโยกการเคี้ยวไปอีกข้าง

2. บริเวณข้างนั้นไม่มีฟัน หลังจากที่ถอนฟันไปแล้ว ทันตแพทย์มักแนะนำให้คนไข้ใส่ฟันเพื่อรักษาระบบการบดเคี้ยวให้เป็นไปเหมือนเดิม มีหลายท่านที่ถอนฟันแล้วไม่ใส่ก็ย้ายไปเคี้ยวฝั่งตรงข้ามที่มีฟันเต็มๆ

3. มีฟันครบแต่ประสิทธิภาพในการตัดอาหารของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เรามักจะไปเคี้ยวยังด้านที่บดอาหารได้ดีกว่า อาจเป็นเพราะยอดฟันสึกจากที่เคยอุดฟันหรือใส่ฟัน Procela..มานานๆ วัสดุอุดฟันอาจจะสึกแตก ความคมของยอดฟันสูญเสียไป ก็เคี้ยวไม่ถนัดเมื่อเทียบอีกข้าง

4. โดยนิสัยของแต่ละคนที่ถนัดเคี้ยวข้างเดียว

การเคี้ยวข้างเดียวมีผลอย่างไร?
1. เกิดความไม่สมดุลย์ต่อการบดเคี้ยว โดยปกติแล้วหัวต่อขากรรไกรจะมีทั้งซ้าย,ขวา ทำหน้าที่คล้ายบานพับ อ้าปากหุบปาก หากมีการเคี้ยวข้างเดียวนานๆ มีผลทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณหัวต่อขากรรไกรได้

2. การเคี้ยวข้างเดียว มีผลทำให้ฟันข้างนั้นทำงานหนักมากขึ้น โอกาสจะเสียหาย,ฟันสึก,แตกมีมากขึ้น

3. กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวด้านนั้นจะทำงานหนักมากขึ้น รูปขากรรไกรอาจดูไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อด้านนั้นจะแข็งแรงและโตกว่าอีกข้าง

หากท่านเคี้ยวข้างเดียว จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ควรพบทันตแพทย์สาเหตุนั้นออก เพื่อให้ระบบบดเคี้ยวอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ ลดการเสี่ยงต่อผลกระทบหรือสิ่งเสียหายที่มีต่อหัวต่อขากรรไกรและอวัยวะข้างเคียงได้

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

5 วิธีทานของปิ้งย่างแบบไม่เสียสุขภาพ

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารประเภทย่างที่โปรดปรานของหลายคน นั้นอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพนัก เพราะการทำให้อาการสุกโดยใช้ความร้อนสูงโดยการปิ้ง ย่าง และทอดนั้น จะมีสารที่ก่อมะเร็งหรือ heterocyclic amines (HCAs) and polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) ออกมาขณะทำอาหาร แต่หากอดใจ ไม่ไหวกับความหอมหวนของอาหารประเภทนี้ เหล่านี้คือวิธีลดความเสี่ยงจากการปิ้งย่างลง

เพิ่มผักตระกูลผักกาดลงไป เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักประเภทนี้จะอุดมไปด้วย sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของดีเอ็นเอ เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานกะหล่ำดาววันละประมาณสองถ้วยครึ่งทุกวัน สามารถช่วยลดความเสียหายของดีเอ็นเอในร่างกายได้

จุ่มเนื้อด้วยน้ำซอสขณะย่าง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณของสารก่อมะเร็งลงได้ร้อยละ 92 – 99 การศึกษาวิจัยพบว่าน้ำซอสที่มีส่วนผสมของไวน์หรือเบียร์ช่วยลดสารก่อมะเร็งลงได้ ทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

เปลี่ยนจากเนื้อเป็นปลา อาหารทะเลจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งน้อยกว่าเนื้อสัตว์ เพราะมีกรดอะมิโนน้อยกว่าและใช้เวลาในการปิ้งย่างน้อยกว่า

ลดไขมันลง หากคุณชอบเนื้อสัตว์มากกว่าอาหารประเภทปลา ลดการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ลงด้วยการนำหนังไก่ออกก่อนย่าง เพราะหนังไก่ หรือเนื้อขาวจะทำให้เกิดการปะทุของไฟขณะย่าง ซึ่งเป็นตัวการของมะเร็งนอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของมะเร็งเต้านม

ชุบแป้ง การนำเนื้อไปหมักกับสมุนไพร หรือแป้งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดสารก่อมะเร็งขณะย่างลง เพราะนอกจากสมุนไพรจะมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว การชุบแป้งยังช่วยลดสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี อย่าลืมเพิ่มอาริกาโน ใบโหระพา มินท์ หรือเครื่องเทศ ลงในเนื้อของคุณก่อนย่างทุกครั้ง

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เครื่องเทศ ป้องกันมะเร็ง

เครื่องเทศชนิดต่างๆ พบว่าขมิ้นกับโรสแมรี่มีพลังในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างแข็งขันที่สุด
คณะเคมีอาหาร มหาวิทยาลัยแคนซัส สเตทของอเมริกา พบว่าการปรุงเครื่องเทศเข้ากับเนื้อสัตว์ นอกจากจะช่วยให้มีรสมีชาติแล้วยังช่วยป้องกันอันตรายจากมะเร็งได้อีก

ศาสตราจารย์ เจ.สกอตต์ สมิธ ได้ติดตามศึกษาโครงการหลายอัน เพื่อหาทางลดสารประกอบเฮเทอโรไซคลิคอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสารประกอบก่อมะเร็งในการปรุงอาหารปิ้งย่างทอดเนื้อสัตว์ สารนี้หากบริโภคเข้าไปจะก่อให้เกิดเป็นมะเร็งลำไส้ ปอด ม้าม ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำนม ลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงได้

อาจารย์สมิธได้พบว่า เครื่องเทศบางอย่างจะสามารถช่วยลดระดับสารประกอบนี้ เมื่อเวลาปรุงเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นอาหาร ลงเหลือเพียงร้อยละ 60 ได้
"เนื้อวัวค่อนข้างจะก่อให้เกิดสารประกอบนี้ เมื่อปรุงเป็นอาหารได้มากกว่าเนื้อหมูและไก่ ยิ่งเพสตรี้ที่ปรุงด้วยเนื้อวัว จะยิ่งเป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ที่มีสารก่อมะเร็งสูงที่สุด และอาจจะเป็นแหล่งสำคัญของสารประกอบนี้มากที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ

คณะนักวิจัยของเขาได้ศึกษาสรรพคุณของเครื่องเทศชนิดต่างๆ พบว่าขมิ้นกับโรสแมรี่มีพลังในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างแข็งขันที่สุด ทั้งยังพบด้วยว่า เครื่องแกงที่ใช้ในการปรุงอาหารไทยก็สามารถยับยั้งการก่อตัวของสารประกอบ มะเร็งได้มากระหว่างร้อยละ 40-43 ด้วย