วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Moi-Même

- Je suis volontaire, dynamique , gaie, affectueuxe et sociablese

- Je n'aime pas les gens qui sont nerveuse
, méfiante , capricieux , timide et vulnérable

- Je suis volontaire , dynamique et affectueuxe




วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สับปะรด

สับปะรดมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาได้ พบโดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชาวสเปนและรายงานของชาวตะวันตกอ้างว่า พบสับปะรดในไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สับปะรดเป็นพืชล้มลุก ลำต้นแข็ง มีใบติดสลับโดยรอบต้นใบเป็นแผ่นเรียวโค้ง ริมใบมีหนามขนาดเล็ก ผลรูปร่างเกือบกลมรอบผลมีตาสีเขียวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อสุกเปลือกจะออกสีส้ม เนื้อในสีเหลือง ฉ่ำน้ำ รสหวาน ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โซเดียม แมกนีเซียม และวิตามินซี เป็นต้น จะออกผลในช่วงหน้าแล้งระหว่างเดือนพฤษจิกายน-มิถุนายน

ประโยชน์ในตำรายาไทย
สับปะรดมีรสหวานเย็น ช่วยขับปัสสาวะได้ดี หากคั้นเป็นน้ำสามารถดื่มช่วยลดอาการแน่นท้อง แก้ท้องผูก ลดอาการไอ แก้เสมหะและสามารถนำมาทาส้นเท้าแตกได้ ข้อระวัง สำหรับคนเป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยง เพราะในสับปะรดมีน้ำตาลสูง

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไอศกรีม

ไอศกรีมเป็นอาหารสุดโปรดของเด็กและผู้ใหญ่ในเมืองร้อนอย่างเมืองไทยมานมนานแล้วแต่โบราณมา
สัญญาณ ที่บอกให้ทราบว่ารถเข็นขายไอศกรีมมา ก็คือ เสียงกระดิ่ง กริ่ง หรือแตรลม ปัจจุบันนี้ก็วิวัฒนาการมาเป็นเสียงดนตรีที่เรียกร้องความสนใจทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่ได้ไม่แพ้ของเดิม

“ไอศกรีม” เป็นคำที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติให้ใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า ‘Ice cream’ แต่คนไทยกลับนิยมเรียกทับศัพท์แบบภาษาอังกฤษ คือ ไอศกรีมหรือบางทีก็เรียกง่ายๆ เป็น “ไอติม” เสียเลย จุดกำเนิดของไอศกรีมเริ่มที่ประเทศอิตาลีในราวคริสตศตวรรษที่ 16 โดยมีวิวัฒนาการมาจากการเติมน้ำนมลงในน้ำแข็งแท่ง จึงได้ชื่อว่า Ice cream ในบ้านเราได้กำหนดให้ไอศกรีมเป็นอาหารควบคุมเฉพาะและมีอักษรย่อของผลิตภัณฑ์ ว่า “อ” ตามพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 ได้แบ่งไอศกรีมเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. ไอศกรีมนม
2.ไอศกรีมดัดแปลง
3. ไอศกรีมผสม
4. ไอศกรีมหวานเย็น
5. ไอศกรีมเหลวหรือผงแห้ง

ความหมายที่กฎหมายกำหนด
ไอศกรีมนม หมายถึง ไอศกรีมที่ทำขึ้นโดยใช้นมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ส่วนไอศกรีมดัดแปลง คือ ไอศกรีมที่ทำขึ้นโดยใช้ไขมันชนิดอื่นแทนมันเนยทั้งหมด หรือแต่บางส่วนหรืออาจทำจากวัตถุดิบอื่นที่ตามธรรมชาติมีไขมันอยู่แต่ไม่ใช่ นม เช่น ไอศกรีมที่ผสมน้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันมะพร้าว ไอศกรีมกะทิ เป็นต้น ส่วนไอศกรีมผสม คือ ไอศกรีมนมหรือไอศกรีมดัดแปลงที่มีการผสมน้ำผลไม้ เนื้อผลไม้ ถั่ว ช็อกโกแลต และส่วนผสมอื่นๆ

ไอศกรีมหวานเย็นเป็นไอศกรีมที่ไม่มีส่วนผสมของนม ซึ่งทำจากน้ำตาล แล้วเติมสี กลิ่น รส หรือน้ำผลไม้ โรงงานไอศกรีมส่วนใหญ่ในบ้านเรามักผลิตไอศกรีมทั้ง 4 ประเภทจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตและอุปกรณ์การผลิตคล้ายคลึงกัน

ส่วนไอศกรีมชนิดผงหรือเหลวนั้น เป็นส่วนผสมของสิ่งที่ต้องใช้ในการทำไอศกรีมชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาโดยจำหน่ายในรูปของผง ซึ่งต้องนำไปเติมน้ำตามสัดส่วนที่กำหนด แล้วนำไปปั่นทำให้แข็งหรือแช่เย็นให้แข็งก่อนนำไปบริโภค หรืออาจจำหน่ายในรูปของเหลว ซึ่งนำไปปั่นหรือแช่แข็งได้เลย ไอศกรีมชนิดนี้อาจเรียกว่า กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งไม่ค่อยมีจำหน่ายแพร่หลายในบ้านเรานัก

แม้ว่ากฎหมายได้กำหนดชนิด ไอศกรีมไว้ดังกล่าวมาแล้ว แต่เท่าที่สังเกตดูในท้องตลาดก็จะเห็นว่าผู้ผลิตยังนิยมที่จะระบุถึงชนิดของ ไอศกรีมว่าเป็นนม หรือดัดแปลงมากกว่าที่จะระบุว่าเป็นไอศกรีมผสมเฉยๆ ตัวอย่างเช่น ไอศกรีมดัดแปลงผสมสตอเบอร์รี่ ซึ่งนับว่าเป็นการดี เพราะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงส่วนผสมโดยละเอียดมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

เรามาดูกันในส่วนประกอบว่า นมเปรี้ยวนั้นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักนมขาดมันเนย ด้วยแบคทีเรียที่ดี 2 ชนิด คือ Lactobacilli และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ของทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ดื่มนมเป็นประจำ เมื่อหมักนมวัวนี้ด้วยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดในเวลาและอุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำตาลแลคโตสในนมวัวจะถูกย่อยสลายหมดไป กลายเป็นกรดแฟตตี้ที่มีโมเลกุลสั้น คือ Acetic, Butyric และ Propionic acid กรดแฟตตี้ทั้ง 3 นี้ ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ในขั้นตอนสุดท้ายมีการเติมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้ชวนดื่ม ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย นมเปรี้ยวเหล่านี้จึงมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จำนวนมาก โดยไม่มีน้ำตาลแลคโตสหลงเหลืออยู่ จึงแก้ไขปัญหาคนที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสียได้ เนื่องจากปัญหาการที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ และเนื่องจากมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ให้มีอุณหภูมิใกล้ 4 องศา เพื่อไม่ให้แบคทีเรียนี้มีการหมักน้ำตาลอีกต่อไป เวลาจำหน่ายจึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถ ควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสีย ได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็น ประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กระเทียม ยาฆ่าเชื้อ ลดโคเลสอเตอรอล

กระเทียมเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหารไทยแทบทุกชนิด คนไทยทุกคนจึงรู้จักคุ้นเคยกับกระเทียมเป็นอย่างดี แต่ไม่ทุกคนที่จะรู้ว่ากระเทียมมีประโยชน์มากเพียงใด หากอ่านบทความนี้จบแล้ว เชื่อว่าหลายท่านที่ไม่รับประทาน หรือไม่ชอบกระเทียมคงหันมารับประทานกระเทียมอย่างแน่นอนที่เดียว

กระเทียม นอกจากจะเป็นเครื่องเทศให้กลิ่นหอม ช่วยกลบกลิ่นคาวในอาหารทั้งดิบและสุกแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ในกระเทียมมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อ มีกลิ่นฉุนจะเกิดเมื่อเราทุบหรือบดกระเทียม หากทิ้งไว้นานๆ หรือปรุงสุก ฤทธิ์ยาก็จะหายไป?

กระเทียมโทนที่มีกลิ่น และรสเผ็ดร้อนกว่ากระเทียมธรรมดาก็ให้ผลมากกว่าเช่นกัน จากการทดลองพบว่ากระเทียม สามารถฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนิซิลลิน และเตตร้าซัยคลิน ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยัง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคท้องเสีย, แผลติดเชื้อ, วัณโรค, ไทฟอยด์, เชื้อรา, กลากเกลื้อนด้วย

กระเทียมไม่ได้มีเพียงฤทธิ์ฆ่าเชื้อเท่านั้น ยังช่วยลดการกำเริบของโรคหัวใจอีกด้วย โดยออกฤทธิ์ช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มสารสำคัญในเลือดบางตัวที่มีผลต่อการสลายลิ่มในเส้นเลือด ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทำให้ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด พบว่า การทานกระเทียมสด 12 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ คนทั่วไปหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ควรรับประทานกระเทียมประมาณ 50 กรัม หรือ ประมาณ 15 กลีบต่อวัน มีการทดลองพบว่าการรับประทานกระเทียม 1 หัว (ประมาณ 9 กลีบ) ต่อวัน จะช่วยลดโคเลสเตอรอลได้โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือน และหลังจากโคเลสเตอรอลลดลงในระดับที่น่าพบใจแล้ว การรับประทานกระเทียมสดวันละ 2 กลีบ ก็สามารถป้องกันการเพิ่มของโคเลสเตอรอลได้

วิธีใช้กระเทียมรักษาอาการต่างๆ ก็ต่างกันไปตามสูตรและสถานที่ เช่น ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ ใช้น้ำคั้นหัวกระเทียมผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กลั้วคอเพื่อฆ่าเชื้อในปากและลำคอ รักษาทอนซิลอักเสบที่เริ่มเป็น และการใช้กระเทียมสดทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนและการทารอบๆ วันละ 3-4 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่น่าสนใจ คือ แพทย์ชาวจีนใช้กระเทียมสกัดฉีดเข้ากระแสเลือด เพื่อรักษาโรคสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus ซึ่งมาจากนกพิราบได้

ประโยชน์ จากกระเทียมมากมายขนาดนี้ ท่านที่ไม่นิยมรับประทานกระเทยมก็คงจะหันมาสนใจบ้างแล้ว เริ่มง่ายๆ จากอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ เพราะอย่างถึงน้อย กระเทียมสุกจะไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแต่ช่วยลดโคเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด หนังสือ Critical Review in Food Science and Nutrition เคยทดลองและสรุปได้ในปี 1985 ว่า "ไม่พบว่าผลิตภัณฑ์สกัดของกระเทียมชนิดใด จะให้ผลการรักษาดีกว่ากระเทียมสด"

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชาเขียวเย็น ดื่มแล้วไม่ช่วย ยังจะให้โทษ

เหตุใดคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด เรื่องจริงที่คนไทยไม่รู้... ชาเขียวเป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปีมานี้เอง

คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนร้อนกัน เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษใน ร่างกายคนเราให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่

แต่....คนไทยนิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริง ของชาเขียวเลย ทำให้คนญี่ปุ่นรุ้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น เพราะอะไรงั้นหรือ...เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่ม ชาเขียวตอนที่เย็นแล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้เกิด การเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง

นอกจากนี้ ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่ายๆ และชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัด นำมาเทลงในชามก๊วยเตี๊ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียว จะมีคราบไขมันลอยเห็นเป็นคราบบนน้ำซุปหรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๊วยเตี๊ยว ทันที แล้วร่างกายท่านล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป...........สยองไหมละ

ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาดกลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย แบบฉลาด

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ

วันรัฐธรรมนูญตรงกับ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

ประวัติความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลง
การปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
2. หลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
3. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน 4. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ
ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเด และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ 27มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
1. พระมหากษัตริย์

2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฎร
4. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้าวของไทย ข้าวของพ่อ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวนาไทยทรงทุ่มเทพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาข้าวไทย และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา พระองค์ท่านส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว ตลอดจนกิจกรรมด้านเกษตรต่างๆ ทั่วประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของคนไทยและเศรษฐกิจของชาติมาโดยตลอด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยและชาวต่างชาติ

ด้วยพระอัจฉริยภาพในด้านการเกษตรดังกล่าว คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะเฝ้าทูลละอองธุรีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย “เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ซึ่งจัดทำด้วยทองคำความบริสุทธิ์ร้อยละ 96.5 น้ำหนัก 29 บาท ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9.9 เซนติเมตร ด้านหน้ากลางเหรียญมีพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านหลังกลางเหรียญมีข้อความว่า “80 พรรษา” เบื้องบนข้อความมีตราอุณาโลม เบื้องล่างมีรวงข้าวและข้อความ “ข้าวทองคำ” ประดับบนเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณฯ ด้วยเทคนิคสลักดุนแบบโบราณ ซึ่งออกแบบและจัดทำโดยนายนิพนธ์ ยอดคำปันกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงในพระบรมมหาราชวัง

พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลี ยังถวายรายงานสิทธิบัตร เรื่องสิทธิบัตรยืนความหอมในข้าว (Transgenic rice plants with reduced expression of 2-acetyl-1-pyroline) ซึ่งเป็นผลงานร่วมระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลงานดังกล่าวเป็นการค้นพบยีนที่ควบคมความหอมที่เรียกว่า Os2AP โดยพบว่ายีนนี้จะถูกกดหรือถูกยับยั้งในข้าวหอม การค้นพบดังกล่าวจะมีประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและพืชอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ ผลงานดังกล่าวได้รับการจดสิทธิบัตรจาก 10 ประเทศ อาทิ ประเทศไทย ที่ยื่นจดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2549 และล่าสุดเพิ่งได้รับสิทธิบัตรจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 อีกด้วย โดยโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกับคระผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

“ขอบใจที่นำสิทธิบัตรนี้ วึ่งถือว่าเป็นการประกันว่าการข้าวไทยเป็นของไทยแท้ ซึ่งคนหนักใจว่าเราเป็นข้าวไทยมานานแล้วจะกลายเป็นต้องไปกินข้าวฝรั่งเพราะว่าสิทธิบัตรนี้เป็นของฝรั่ง แต่ว่ามาอย่างนี้ก็ถือว่าเป็น ว่าเราได้รับประกันว่าเราเป็นข้าวไทย และจะกินข้าวไทยต่อไป ฉะนั้นการที่มีสิทธิบัตรนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และก็หวังว่าจะต้องทุกคนจะรักษาความเป็นไทยได้ด้วย รับประทานกินข้าวไทยไม่ต้องกินข้าวฝรั่ง ขอขอบใจทุกคนที่ได้จัดการเกี่ยวข้องกับเรื่องประกันนี้ สำหรับในนามของไทยทั้งหลายมีความภูมิใจได้กินข้าวไทย ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจ การทำงานเพื่อการนี้ ขอให้ท่านได้ช่วยกันทำให้เราสามารถสืบของไทยแล้วก็กินข้าวไทยแท้ไม่ใช่ต้องไปกินข้าวฝรั่ง เชื่อว่าการกินข้าวไทยนี้ทำให้คนไทยมีความภูมิใจในความเป็นไทยได้ก็ขอขอบใจทุกท่านที่ทำงานเพื่อการนี้ต่อไป และได้เป็นคนไทยต่อไป”

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"กะหล่ำปลี" ช่วยต้านมะเร็ง

"กะหล่ำปลี" เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่า หากินง่ายในบ้านเรา กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป โดยชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่เริ่มปลูกกะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีประโยชน์ตรงที่เป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูงแถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก คนในสมัยโบราณใช้กะหล่ำปลีเป็นยา ว่ากันว่ากะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง ดังนั้นกะหล่ำปลีจึงถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน

ปัจจุบันมีคนให้ความสนใจกะหล่ำปลีกันมากเนื่องจากมีการทดลองหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เช่น มีการทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้

จากผลวิจัยเหล่านี้ทำให้เชื่อกันว่า การบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาส การเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% กินกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็ง ในช่องท้อง และการกินกะหล่ำปลีสดก็จะดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วย เพราะจะไม่สูญเสียวิตามินไปกับ ความร้อนมากนัก

แต่ในบ้านเรา กะหล่ำปลีถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนกินต้องแน่ใจว่าล้างสะอาดปราศจากสารพิษแล้ว