วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขิงกับประโยชน์ที่ยังไม่รู้

ขิงGINGER ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Rosc. วงศ์ ZINGIBERACEAE

สรรพคุณ ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เพราะในเหง้าขิงแก่ มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย GINGEROL และ SHOGAOL แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ขับลม ลดอาการไอ และระคายคอ จากการมีเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม แก้อาการเมารถเมาเรือ แก้บิด บำรุงธาตุ ช่วยในด้านการไหลเวียนของโลหิต ช่วยลดความดัน ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ปวด ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มักมีอาการเมายาสลบให้จิบน้ำขิงเข้มข้นสักครึ่งช้อนชา จะช่วยแก้อาการเมายาได้

จีนเป็นชนชาติเก่าแก่ ที่มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณ จัดขิงเป็นพืชรส เผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคลอเลสเตอรอล ที่สะสมในตับและเส้นเลือด ชาวบ้านทั่วไปจะรู้ดีว่า ถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อย จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้าง จะช่วยแก้ปวดหัวและถ้าเอาขิงสอดไว้ใต้ลิ้น จะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี

แพทย์จีนโบราณจะใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้งในแง่มุมที่ต่างกัน

ขิงแห้ง ในภาวะที่ขาดหยางภาวะขาดหยาง คือ ภาวะที่ร่างกายอาการเย็น หนาวง่ายทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น ทั้งยังมีการใช้ขิงแก่ในคนไข้ปวดข้อรูมาติกส์ม

ขิงสด จะใช้กำจัดพิษที่เกิดจากการติดเชื้อ ภายในร่างกาย โดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกาย ปรับสภาพในภาวะที่ร่างกาย มีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง

ลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด 30 กรัม( 3 ขีด) สับให้ระเอียดต้มทานน้ำในขณะท้องว่าง

ช่วยขับเสมหะ โดยใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำ ประมาณครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัม( 6 ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน

แก้หวัดหน้าหนาว โดยการใช้ขิงสดทุบหรือขูดให้เป็นฝอย หรือขิงแห้งก็ได้ ใส่ในกะละมังน้ำอุ่น เติมน้ำผึ้งลงไปด้วยเล็กน้อย แช่เท้า กลิ่นของขิงที่หอมกลุ่นจะกระตุ้นให้จมูกโล่ง ศรีษะโล่ง ร่างกายสามารถต่อสู้กับหวัดได้และผิวหนังที่แช่เท้าอยู่ก็จะรู้สึกนิ่มนวลขึ้น ไม่แห้งกร้าน

แก้อาการปวดข้อปวดศรีษะ ด้วยการใช้น้ำขิงอุ่นๆ จุ่มผ้า แล้วนำมาประคบตามข้อที่ปวดหรือศรีษะ อาการจะทุเลาลง

ด้านความงาม ใช้ถูหนังศรีษะเพื่อกันผมร่วง นอกจากนี้ยังคั้นเอาแต่น้ำผสมน้ำมันมะกอก หมักผม แล้วนวดให้ทั่วศรีษะ เอาหมวกพลาสติกคลุมไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นทั้งผืนในอุณหภูมิที่อุ่นจัด บิดให้หมาด แล้วคลุมศรีษะไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วจึงล้างออก จะทำให้ผมสวยนิ่มและแข็งแรงไม่ขาดง่าย

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 วิธี ช้อปอาหารสุขภาพ

อาหารดีๆ ที่ทานแล้วส่งเสริมสุขภาพนั้นมีอยู่มากมาย แต่เราคงไม่ปฏิเสธกันใช่ไหมว่า เรามักเลือกอาหารที่ทานง่ายๆ รวดเร็ว และเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก จนเผลอพลาดไปอีกที น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นจากน้ำตาลที่ทานมากเกินไปหรือไขมันที่มาจากการทอดนั่นอีก

เอาเป็นว่าเรื่องของสุขภาพนั้น ความสะดวกสบายอาจต้องปรับเป็นเรื่องรองลงมา แล้วเพิ่มเวลาให้กับตัวเองในการเลือกสิ่งดีๆ ให้กับสุขภาพกันดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะต้องเป็นอาหารราคาแพงหรือมีวิธียุ่งยากวุ่นวาย แค่เราปรับแนวทางการช้อปง่ายๆ ในแต่ละวันก็สามารถสร้างแนวทางสุขภาพดีๆ กันได้แล้ว

วิธีที่1 : ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำครั้งต่อไปลองจด รายการอาหารสุขภาพที่จะไปซื้อไว้ก่อน แทนที่จะเผลอหยิบอาหารจั๊งค์ๆ หรือขนมกรุบกรอบอย่างที่เคยจากนั้นทำให้ได้ทุกครั้ง เพื่อเมนูสุขภาพที่จะถือเป็นการบังคับให้คุณปรุงทานในแต่ละมื้อ

วิธีที่ 2 : อย่าช้อปตอนที่เราเร่งรีบหรือหิวมากๆ เพราะมีโอกาสที่เราจะหยิบอาหารทานง่าย มีน้ำตาลสูงและไม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าจริง

วิธีที่ 3 : ผักและผลไม้สดนั้นดีเสมอ แวะตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไหน อย่าพลาดซื้อของดีอย่างอาหารสดๆ ประเภทนี้ติดบ้านไว้ แต่เน้นที่ปริมาณที่เพียงพอสำหรับ 1 -2 วันก็พอแล้วสำหรับอาหารที่ยังมีชีวิต

วิธีที่ 4 : หากทำอาหารทานเอง เน้นเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อยๆ อย่างอก ไก่ และปลา หรือหมูเนื้อแดง พร้อมกันนั้นก็เลี่ยงอาหารจำพวกไส้กรอก ฮอตดอก หรือแฮมทั้งหลาย ที่เป็นอาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงมาก

วิธีที่ 5 : หยุดพฤติกรรมการซื้อเครื่องดื่มอัดลม ขนมขบเคี้ยว และของทอดทั้งหลายเก็บไว้ทานเล่นนี่ล่ะ ศัตรูตัวร้ายของสุขภาพตัวจริง

วิธีที่ 6 : อ่านฉลากเพื่อตรวจสอบคุณค่าทางอาหารไว้หน่อยก็ไม่เลว เพื่อสังเกตสารอาหารและแคลอรี่ที่ระบุไว้ ซึ่งหากเป็นไปได้ควรเลี่ยงอาหารกระป๋อง หรืออาหารที่ผ่านกรรมวิธีมามากจนไม่อาจเหลือคุณค่าต่อร่างกาย

วิธีที่ 7 : หากชอบดื่มนม ลองดื่มนมที่มีไขมันต่ำหรือหันมาดื่มนมถั่วเหลืองหรือนมข้าว เพราะเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยลดเอนไซม์การย่อยนมในกระเพาะอาหารลงซึ่งอาจทำให้ไม่สบายตัวได้

วิธีที่ 8 : งดทานขนมปังขาวแล้วหันมาทานขนมปังธัญพืชหรือทานข้าวกล้องแทน เพราะนอกจากคุณค่าทางอาหารที่มากกว่าแล้วยังช่วยเรื่อง

วิธีที่ 9 : เครื่องปรุงจำพวกพริกไทยดำและสมุนไพรต่างๆ อย่าได้พลาด โดยเฉพาะการนำไปทานกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่จะเพิ่มคุณค่าและช่วยให้การย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีที่ 10 : งดซื้ออาหารแช่แข็ง เพราะโดยหลักการแล้วอาหารแช่แข็งไม่ต่างจากอาหารที่ตายแล้ว หลังจากที่อาหารได้ถูกความเย็นแช่ตัวจนหมดคุณค่า จึงกลายเป็นอาหารที่ให้พลังงานแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตะลิงปลิงเปรี้ยวได้ใจได้ประโยชน์


หน้าแล้งเป็นหน้ามะนาวแพง คนไทยหันมาใช้ผลไม้รสเปรี้ยวในการปรุงอาหาร ...ก็หากขาดรสเปรี้ยวคงไม่ใช่อาหารไทยแล้ว ตะลิงปลิงจึงเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง
สรรพคุณทางยาของตะลิงปลิงมีมากมายและสามารถนำมาใช้ได้ทั้งต้นดังนี้

ราก : แก้ร้อนใน ใช้ลดไข้ได้ บำรุงกระเพาะลำไส้ ใช้รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน รักษาคางทูม ไขข้ออักเสบ สิว และเก๊าต์

ใบ : ใช้ดับพิษร้อนเช่นกัน เอามาตำแล้วพอกแก้คัน พอกที่คางทูมเพื่อดับพิษร้อน พอกรักษาโรคข้ออักเสบ ใช้ต้มดื่มรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ ซิฟิลิส ข้ออักเสบ เอาน้ำต้มใบให้คนมีไข้อาบ

ดอก : ชงเป็นชา แก้ไอ

ผล : บำรุงกระเพาะ เจริญอาหาร ลดไข้ แก้ไอ มีเสมหะ แก้ปวดมดลูก รักษาริดสีดวงทวาร ชาวเกาะชวาใช้ผลตะลิงปลิงกินกับพริกไทยเพื่อขับเหงื่อ แก้อาการซึมเศร้า

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้าวโพดต้มสุกต้านมะเร็ง

ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่า ผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้

แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้าง พิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียสในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53%ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัว ล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรด เฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่นและการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผลไม้เปรี้ยวอาจจะไม่มีวิตามินซี

ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ที่ว่ามากคือเนื้อผลไม้สด 100 กรัม มีวิตามินซี 40 มิลลิกรัม หรือมากกว่า ฝรั่งสด 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 160 มิลลิกรัม จะว่ามีมากหรือมีน้อยจะต้องคิดต่อไปด้วยว่า เรากินได้มากหรือน้อย กินฝรั่ง 100 กรัม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะให้กินมะขามป้อมสด ๆ 100 กรัม คงยาก เราจึงไม่สนใจแม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้อื่น ๆ

ผักต่าง ๆหลายชนิดให้วิตามินซี แต่ผักก็เช่นเดียวกับผลไม้ ต้องกินสด ๆจึงจะได้รับวิตามินซีเต็มที่ เพียงลวกน้ำเดือด 5 วินาที วิตามินซีก็ลดลงแล้ว ถ้าต้มนานเทน้ำทิ้งจะสูญเสียวิตามินซีไปมาก ยังคงเหลือวิตามินเอ เกลือแร่และเส้นใยอาหาร ผักที่ให้วิตามินซีมาก ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด มะละกอดิบ ผักกาดและผักที่มีใบสีเขียวทั้งหลาย ผักผลไม้ไม่ได้ให้แต่วิตามินซีเท่านั้น สิ่งอื่น ๆในผักมีประโยชน์ ช่วยรักษาโรคเบาหวานและป้องกันมะเร็งได้

วิตามินซีช่วยสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งมีความยืดหยุ่น ทำให้เส้นเลือดยืดหดตัวเมื่อหัวใจเต้น ถ้าขาดวิตามินซีเส้นเลือดจะเปราะ แตกง่าย เห็นได้ชัดที่เยื่ออ่อนหุ้มฟัน อาการขาดวิตามินซีที่เห็นได้ง่ายคือเลือดออกตามไรฟัน ผิวหนังช้ำง่าย เมื่อเป็นแผลจะหายยาก เพราะไม่มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันประสานให้ติดกัน การสร้างความแข็งแรงให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้วิตามินซีมีประโยชน์ในการป้องกันโรค เพราะทำให้ผิวหนังแข็งแรง เชื้อโรคเข้าร่างกายไม่ได้

วิตามินซีช่วยบรรเทาอาการเครียด ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อเครียด เช่นเมื่อตกใจกลัว ตื่นเต้น สนุกสนาน เป็นไข้หรือเมื่อรู้สึกหนาว วิตามินซีช่วย สร้างฮอร์โมนไธร็อกซินที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อควบคุมการเผาผลาญสารอาหาร ในขณะที่เครียด ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเป็นไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น วิตามินซีช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหลเมื่อเป็นหวัด โดยลดฮีสตามีนในเลือด ยาแก้หวัดจะเป็นตัวยาที่ลดฮีสตามีน การได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นจึงดีกว่ากินยาที่มักจะทำให้ง่วงนอน เป็นอันตรายถ้าทำงานกับเครื่องจักร หรือต้องขับรถ

เมื่อรู้สึกว่าจะเป็นหวัด กินวิตามินซีเพิ่มขึ้นอาจจะไม่เป็นหรือหายเร็วขึ้น คนที่ได้รับวิตามินซีทุกวันจะเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน อาหารเช้าแบบฝรั่งจะต้องเริ่มต้นด้วยน้ำส้มคั้นเสมอ น้ำผลไม้อื่นให้วิตามินซีน้อยกว่าน้ำส้มคั้น จึงแทบจะเป็นสูตรตายตัวว่า อาหารเช้าคือน้ำส้มคั้นสด หรือน้ำส้มแช่แข็ง น้ำส้มแบบอื่น ๆจะมีวิตามินซีน้อย หลายแห่งมีน้ำส้มเทียม หรือน้ำส้มผสมน้ำเชื่อมและเติมน้ำเปล่า คุณค่าทางโภชนาการจึงน้อยมาก น้ำส้มให้วิตามินซีน้อยกว่าผลไม้สดที่กล่าวถึงข้างต้น แต่เราดื่มน้ำส้มแต่ละครั้งได้มากกว่า 100 กรัม เมื่อดื่ม 150 หรือ 200 กรัม จะได้วิตามินซีเพียงพอกับความต้องการใน 1 วัน แต่ถ้ากินผลไม้จะเสียเวลาเคี้ยว ส่วนมากคนที่ทำงานต้องรีบกินอาหารเช้า การดื่มจึงได้รับอาหารเร็วกว่า ยิ่งถ้าเปิดกล่องรินใส่แก้วดื่ม จะยิ่งประหยัดเวลากว่าปอก หั่น ผลไม้ และเคี้ยวกิน