วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กินอาหารฟาสต์ฟู้ด




อาหารฟาสต์ฟู้ด อันตรายต่อตับ (Lisa)

วันนี้กินมันฝรั่งทอด พรุ่งนี้กินแฮมเบอร์เกอร์...ใครที่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดมากเกินไป ต้องใส่ใจกับตับให้ดี

ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Linkoping ในประเทศสวีเดน ได้ทำการทดสอบพฤติกรรมการกิน โดยให้อาสาสมัครกินอาหารฟาสต์ฟู้ดวันละสองมื้อ และไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย หลังสี่สัปดาห์ปรากฎว่า มันส่งผลกระทบต่อเอนไซม์ ALT (Alanine Aminotransferase) ในตับ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับตับในนักดื่มแอลกอฮอล์จัด ๆ หรือในผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีนั่นเอง

ดังนั้น ใครที่ชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดก็เพลา ๆ ลงบ้างนะคะ เพราะนอกจากจะอ้วนแล้ว ยังก่อโรคอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

9 เรื่องต่อไปนี้ มีที่เมืองไทยเท่านั้น !

1.ประเทศไทย....ทำไมมีสีประจำวัน ?
ขอบอกว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันศุกร์ ใส่เสื้อสีฟ้า ก็มีเพื่อนต่างชาติคนนึงถามว่าทำไมใส่เสื้อสีฟ้าล่ะ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริงๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ใส่แล้วสวย (กล้าพูด) เลยตอบไปว่า ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ไงล่ะ เพื่อนก็งงใหญ่ว่า แล้วทำไมล่ะ วันศุกร์เกี่ยวอะไรกับสีฟ้า สรุปคุยกันยาวววจนสรุปได้ว่า ที่ประเทศอื่นๆ เค้าไม่ค่อยมีสีประจำวันเหมือนบ้านเรา ที่วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู เอ๊ะ แล้วใครเป็นคนคิดริเริ่มให้มีสีประจำวันนะ ?

2.ประเทศไทย....ทำไมดื่มน้ำอัดลม/ เบียร์ต้องใส่น้ำแข็ง
อันนี้หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินมาจากเดี่ยว 8 แล้ว (ฮา
มาก)ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต่างประเทศเค้าถึงดื่ม
น้ำอัดลมกันแบบไร้น้ำแข็งได้ ซึ่งในทางกลับกับ คนต่างชาติ
เค้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็ง
ด้วยล่ะ ก็แหม...ประเทศเราเมืองร้อนนี่คะ เอะอะอะไรก็ใส่น้ำ
แข็งไว้ก่อน 555+

3. ประเทศไทย .... ทำไมกินข้าว โพดเป็นของหวาน ?
ประเทศแถบตะวันตกพวกยุโรป อเมริกา เค้าไม่ถือว่าข้าว
โพดเป็นของหวาน แต่ถือว่าเป็นของคาว น้อยคนมากๆ ที่จะ
เอามานั่งแทะกินเปล่าๆ หรือหากเอาไปใส่ไอศกรีมนี่ถือว่าเป็น
เรื่องแปลกมาก แต่คนไทยเราเอามานั่งแทะๆ กันจนฟันเหยินซะ
งั้นแทะไป ดูหนังไป เพลินจะตาย

4.ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆก็ต้องใส่ซอส ?
ไม่ว่าจะกินอะไร ตั้งแต่ไข่เจียว แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่
ทอด คนไทยเราต้องมีซอสหรือมีน้ำจิ้มไว้เคียงคู่เสมอ แต่
สำหรับในบางประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพ เพราะ
คนทำอาจจะน้อยใจได้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องใส่น้ำจิ้มอีกล่ะ
ที่ฉันทำไปมันไม่อร่อยเหรอ? โดยเฉพาะในร้านอาหารใหญ่ๆ
เช่น ถ้าสั่งพิซซ่ามาแล้วดันไปขอซอสเพิ่ม พ่อครัวอาจจะค้อน
ใส่ได้นะ


5.ประเทศไทย .... ทำไมคนไทย เก่งเลขจัง ?
เพราะคนไทยชอบจั่ว ... เอ๊ย ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยิน
มาหนาหูมากๆ ว่า ถ้าเทียบกับพวกฝรั่งแล้ว คนไทยถือว่าเก่ง
เลขมากๆ โดยเฉพาะน้องๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนชอบมาเล่าให้
พี่เป้ ฟังว่า 'เลข ม.ปลายที่นั่นง่ายประมาณ ม.1ของที่
ไทยเลยค่ะพี่ หนูชอบเรียนเลขเพราะมันง่ายมาก' เวลา
เพื่อนฝรั่งเห็นเราแก้สมการซับซ้อนได้ ทุกคนก็จะ โอ้โห อู้หู
amazing thailand จริงๆ !

6. ประเทศไทย .... ทำไมไม่คิดค่าถุงหิ้ว ?
เวลาที่เราไปซื้อของในหลายๆ ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย
บางประเทศนั้น ตามร้านค้าต่างๆ เค้าคิดค่าถุงหิ้วกันด้วยนะคะ
เช่น ถ้าในยุโรปก็จะประมาณ 10 เซนต์ ในเกาหลีใต้ก็จะ 10
วอน อะไรทำนองนี้ค่ะ (อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด) แต่ทั้ง
นี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อรณรงค์การลดโลกร้อนนั่นเอง

แต่! เพราะตั้งแต่เดือนหน้าวันที่ 6 มิถุนายนเป็นต้นไป
ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ จะเริ่มเก็บค่าถุงพลาสติกใบละ 1
บาท เพื่อเป็นการช่วยรณรงค์ลดโลกร้อน เพราะฉะนั้นใครไป
เที่ยวห้างก็อย่าลืมพกถุงผ้ากันไปด้วยนะคะ

7. ประเทศไทย .... ทำไมมีวิธีอาบน้ำสารพัด ?
อย่างที่รู้ๆ ว่าฝรั่งไฮโซอาบน้ำกันด้วยฝักบัว ไม่ก็รองน้ำใส่
อ่างแล้วลงไปแช่ แต่คนไทยไม่น้อยหน้าใคร นอกจากฝักบัว
หรืออ่างแล้ว เรายังมีขันไว้ตักอาบ มีตุ่มไว้ลงไปแช่อีกด้วย
5555+ เย็นสบาย !!.....

มีเพื่อนคนนึงอยู่ต่างจังหวัด เคยรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน
จากอเมริกามาที่บ้าน (สมมติว่าชื่อซูซี่) พอถึงเวลาอาบน้ำ
ก็พาซูซี่ไปหลังบ้านซึ่งมีตุ่มใส่น้ำและขันวางไว้ ซูซี่ก็บอก
OK I see Don't worry ไออาบน้ำได้เอง สบายมาก ยูไม่
ต้องห่วง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ

ซักพัก 10 นาทีต่อมา เพื่อนก็เดินกลับไปตามซูซี่ ปรากฏ
ว่า !! ภาพที่เห็นคือน้องซูซี่เล่นลงไปในว่ายน้ำอยู่ในตุ่ม
ซะงั้น 55555 สรุปว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีในเมืองไทย
ตุ่มนั้นก็ตกเป็นสมบัติของน้องซูซี่ไปโดยปริยาย

8.ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต่อราคากันเก่งจัง ?
เรื่องต่อราคานี่ต้องยกให้คนไทยเลยจริงๆ ต่อได้ต่อดี จาก 99 ต้องเป็น 90 .... จาก 49 ต้องเป็น 40 ....จาก 19 ก็ยังจะต่อให้ได้เป็น 2 อัน 35 ได้มั้ยพี่ ? จนฝรั่งหรือชาติอะไรต่ออะไรที่มาเที่ยวเมืองไทยก็เริ่มจะติดนิสัยนี้ไปด้วยแล้วล่ะค่ะ เผลอๆ เดี๋ยวนี้ฝรั่งต่อราคาเก่งกว่าคนไทยซะอีกแน่ะ ถือว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามคนไทยละกันนะ

9.ประเทศไทย..... ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเปล่าๆ แบบไม่ต้ม ?
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คงฟังกันมาแล้วจากเดี่ยว 8 .... ขอย้ำกันให้ชัดๆ เลยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้มก็อร่อย กินเปล่าๆ ใส่พริกใส่น้ำมัน บีบให้แตกแล้วมาจกกินนี่ก็อร่อยสุดๆ เพราะบะหมี่ของเราเส้นเล็ก แต่บะหมี่ของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรอย่างนี้เส้นมันจะใหญ่และหนามากๆ เอามากินเปล่าๆ ไม่ได้แน่นอน แถมยังมีจำกัดแค่ไม่กี่รส เช่น รสไก่ รสต้มยำ รสกิมจิ แต่ของเมืองไทยนี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หมูสับ ต้มยำ เป็ดพะโล้ เย็นตาโฟ หมูน้ำตก สุกี้ ต้มโคล้ง พริกเผา โอ๊ยยย...สารพัด สามารถกินได้ไปเป็นเดือนๆ โดยไม่ซ้ำรส (ถ้าผมไม่ร่วงหมดหัวซะก่อน)

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

12เทคนิคเพิ่มพลังสมอง

หากรู้สึกสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ลองมาเพิ่มพลังสมองด้วยเทคนิคง่ายๆ ใครๆก็ทำได้กันดีกว่า

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกันสมองเ่ยว เพราะในสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หากดื่มน้ำน้อยเกินไปเซลล์สมองจะขาดน้ำ การสื่อสารส่งถ่ายข้อมูลระหว่างเซลล์จะช้าลง ทำให้คิดอะไรไม่ออก หรือคิดช้าตามไปด้วย

2. กินอาหารที่มีไขมันดี เพื่อไปทดแทนก้อนไขมันที่สึกหรอในสมอง เช่น น้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาทะเล และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

3 . ตั้งใจทำงาน หากใส่ใจทำอะไรก็ตามสมองจะตั้งโปรแกรมว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น แล้วปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งคือการทำงานให้สำเร็จนั่นเอง

4. กระตุ้นสมองให้ทำงานอยู่เสมอ เช่น ฝึกคิดเลขเร็ว เล่นเกมจับผิดภาพ ต่อจิ๊กซอร์ เป็นต้น

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอนดรอร์ฟิน กระตุ้นพลังออร่า (aura)ให้สว่าง และดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

6. ฝึกสมาธิ พัฒนาอารมณ์หลังตื่นนอนตอนเช้าด้วยการจิตนาการภาพต่างๆ เช่น การเดินเล่นริมทะเล หรือนึกถึงสิ่งดีๆที่จะทำในวันนี้

7. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เช่น การกินอาหารร้านใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ เพราะจะทำให้สมองหลั่งสารเอนดรอร์ฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้

8. รู้จักให้อภัยเพื่อลดภาระของสมอง การไม่ให้อภัยคนอื่น โกรธตัวเอง ขี้โมโห ทำให้เปลืองพลังงานสมองเป็นอย่างยิ่ง

9. ฝึกพูดดีๆกับตัวเอง เพื่อเป็นการส่งผ่านความสุขให้ตัวเรา

10. เขียนบันทึกขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นทุกวัน จะทำให้สมองคิดเชิงบวกและหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ทำให้นอนหลับฝันดี ตื่นมามีสมาธิและความคิดสร้างสรรค์

11. ฝึกหายใจให้ลึก สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

12. เข้านอนเวลา 21.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อน หากพักผ่อนไม่เพียงพอสมองจะทำงานหลักและล้า กลายเป็นคนคิดช้าและคิดอะไรไม่ค่อยออก ใครที่อยากเพิ่มพลังสมอง ลองฝึกดูนะคะ ไม่ยากเลย

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ระวัง 5 สารพิษใกล้ตัว

ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาทำให้ชีวิตเราสบายและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันความสะดวกสบายเหล่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีใกล้ตัวที่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่อาจมองข้ามได้

1.เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงานจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้มักตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ตกค้าง และสารเคลือบเงาเช่น โทลูอีน ไซลีนและเอธิลเบนซิน รวมถึงสีที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบหลุดลอกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือผนังอาคารปะปนกับฝุ่นผงในอากาศ

อาการ : สารฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน ไซลีน เมื่อสูดดมเข้าไปบ่อยๆ จะมีอาการระคายเคืองจมูกและลำคอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองต่อผิวหนังหรือระบบทางเดินหายใจ ส่วนสารตะกั่วนอกจากจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหารแล้ว ถ้าได้รับเป็นเวลานานและปริมาณมากจะมีผล คือ ปวดท้องรุนแรง ทำลายสมอง ไต ระบบการย่อยอาหารและระบบการได้ยิน

วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

2.น้ำยาลบคำผิดและกาว มีส่วนผสมของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีทินเนอร์และสารประกอบอินทรีย์เคมีชนิดต่างๆ ประกอบอยู่ ได้แก่ สารโทลูอีน เบนซิน และสไตลีน ซึ่งมีกลิ่นพิเศษ เฉพาะและระเหยปะปนในอากาศได้ง่าย

อาการ : หากสูดดมในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ วิงเวียน หน้ามืด มีผลกระทบต่อประสาทส่วนกลาง และเสียการทรงตัวได้ หากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โครโมโซมในเม็ดเลือดผิดปกติจนถึงขั้นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หรือหากกลืนสารเหล่านี้เข้าไปและมีการสำลักร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบได้

วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสูดดมและจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

3.ฝุ่นละอองในสำนักงาน อาจเกิดจากผงหมึกที่กระจายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร ฝุ่นเยื่อกระดาษที่อาจพบตามเอกสารต่างๆ บนโต๊ะทำงาน หรือกระดาษปิดผนังหรือวอลเปเปอร์ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในปอดได้

อาการ : จะมีอาการไอ จาม และระคายเคืองต่อตา จมูก และคันผิวหนัง หากได้รับบ่อยๆ อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืดได้

วิธีป้องกัน : ควรจัดวางโต๊ะทำงานไม่ให้หนาแน่น ทำความสะอาดห้องและโต๊ะทำงานเป็นประจำ แบ่งโซนเครื่องถ่ายเอกสารหรือหนังสือให้อยู่ในมุมที่ห่างไกลจากคนทำงาน

4.สารเคมีจากคอมพิวเตอร์ มีผลการศึกษาของนักวิจัยในสวีเดนระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยสารเคมีที่ชื่อ Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในจอวิดีโอหรือปากกาเคมี ตลอดจนสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งมีกลิ่นจากสารเคมี

อาการ : ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและตาได้

วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

5.ไอเสียจากรถยนต์ ในระหว่างการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านทุกๆ วันท่ามกลางการจราจรอันแออัด คุณแม่มีโอกาสได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามถนน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของคุณแม่แย่ลงได้

อาการ : ถ้าได้รับปริมาณน้อยๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจ หอบสั้น คลื่นไส้ ง่วงซึม และการตัดสินใจไม่ค่อยเด่นชัด มีความสับสน แต่ถ้าในระดับความเข้มข้นที่สูงมากๆ ก็ทำให้ประสาทมึนงง ซึม และหมดสติ

วิธีป้องกัน : ใช้ผ้าปิดปาก หลีกเลี่ยงการสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค

เมืองไทยมีผลไม้พื้นบ้านราคาย่อมเยาอยู่มากมายที่ให้ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายในปริมาณสูงอีกทั้ง ยังได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ว่าสารเคมีที่อยู่ในผลไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยากระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ รวมถึงเสริมสร้างภูมิต้านทานได้อีกด้วย ฝรั่ง ผลไม้พื้นบ้านราคาถูก และออกผลตลอดปี ทุกสายพันธุ์ล้วนเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น จึงสามารถป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ หรือช่วยสร้างรวมทั้งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันที่เราเคยท่องจำกันในสมัยเด็กๆ ได้อีกด้วย มะเฟือง นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้วยังให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มเปี่ยม มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกช่วยขับเสมหะได้

ทับทิม ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว ออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง นอกจากนี้ หากดื่มน้ำทับทิมตอนเช้าวันละ 1 แก้วจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้

มะละกอแขกดำ ผลไม้สุดร่อยที่มีประโยชน์ใช้สอยอีกมากมาย เนื้อมะละกออุดมไปด้วยวิตามินซี มีเบต้าแคโรทีน ไลโคพีน รวมถึงมีแมกนีเซียม ทองแดง โพแทสเซียมและใยอาหาร เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงให้ผิวพรรณชุ่มชื้น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

ส้มโอ ในส้มโอมีสารเพคติน (Pectin) สูง มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและมีสารโมโนเทอร์ปืน ที่ช่วยในการจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นหากรับประทานส้มโอหลังมื้ออาหารจะช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ช่วย ให้ระบบย่อยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


มะขาม เนื้อมะขามมีสารแอนทราควินิน (Antraquinone) ซึ่งช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังมีกรดอินทรีย์ (Organic Acid) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาร์ริก (Tartaric Acid) และกรดซิตริค (Citric Acid) มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เพิ่มกากใยอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
มะยม เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลและใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“มะเขือยาว” ช่วยลดคอเลสเตอรอล-ความดันโลหิต

มะเขือยาว กินประจำอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความดันโลหิต ช่วยรักษาหลอดเลือดและหัวใจให้เป็นปกติ เสริมการทำงานของสมองเสริมความจำ ลดอาการบวม ถอนพิษไข้ และช่วยขับปัสสาวะ

มะเขือยาว หรือ เอ๊กเพลนต์ Eggplant สำหรับอเมริกา หรือ ออเบอร์จีน Aubergine สำหรับอังกฤษ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โซลานัม มีลองจีนา(Solanum melongena L.) ส่วนชื่อไทยมีเรียกหลายอย่างตามภูมิภาค ดังนี้ มะเขือไข่ม้า, มะแขว้ง, มะแข้งคม, มะเขือป้าว (ภาคเหนือ), มะเขือฝรั่ง (กรุงเทพฯ), มะเขือขาว, มะเขือจานมะพร้าว, มะเขือกระโปกแพะ, มะเขือจาน (ภาคกลาง), สะกอวา, ยั่งมูไล่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) และเกียจี้ (จีน)

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือยาว ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตเส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม วิตามินเอวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และสารไกลโคอัลคาลอยด์ (glycoalkaloids) สารต้านเอนไซม์โปรทีเอส สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เทอร์ปีน (terpenes)

จากการศึกษาพบว่า สารสกัดจากผลมะเขือยาวนำไปทดสอบกับคนและกระต่าย มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือด การกินเป็นประจำอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความดันโลหิต ช่วยรักษาหลอดเลือดและหัวใจให้เป็นปกติ ทั้งเสริมการทำงานของสมองเสริมความจำ ลดอาการบวม ถอนพิษไข้ และช่วยขับปัสสาวะ

ส่วนน้ำคั้นมี สารไกลโคอัลคาลอยด์ ลดตกกระและจุดด่างดำบนใบหน้าและเคยใช้ทดลองรักษามะเร็งผิวหนัง ตำพอกแก้ผดผื่นคัน รักษาแผลฝีหนองและโรคผิวหนังเรื้อรังเพราะมีสารต้านแบคทีเรีย และเนื่องจากมีสารต้านเอนไซม์โปรทีเอส จึงช่วยต้านมะเร็งและไวรัสบางชนิดได้นอกจากนี้ ชาวจีนเชื่อว่าเด็กที่กินมะเขือยาวเป็นประจำจะมีสมองดีโดยนำมะเขือยาวที่ทำ สุกแล้วไปบดเป็นอาหารสำหรับเด็กอ่อนที่ระบบย่อยอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่

สรรพคุณเกี่ยวกับผลดังกล่าว มาจากที่มะเขือยาวมีความสามารถในการดูดซับน้ำมัน โดยมีรายงานว่ากระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมีมะเขือยาวเป็นอาหารเพิ่ม พบว่าไม่มีคอเลสเตอรอลเกาะในหลอดเลือด จึงคาดว่ามะเขือยาวยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้ ดังนั้น หากจะบริโภคโดยใช้วิธีการทอดแล้ว มะเขือยาวก็จะดูดซับน้ำมันไว้ด้วย จึงมีคำแนะนำให้ใช้วิธีการอบ หรือใช้น้ำมันที่มีประโยชน์ ซึ่งภูมิปัญญาไทยใช้วิธีการชุบแป้งทอดหรือใช้วิธีการเผาก่อน

ส่วนอื่นๆ ของต้นมะเขือยาว ยังใช้ได้ดังนี้
ลำต้นและรากแห้ง ใช้ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้บิดเรื้อรัง บิดอุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ลำต้นและรากสดนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทา หรือล้างบริเวณที่เป็นแผลที่ถูกความเย็น แผลเท้าเปื่อยอักเสบ

ราก ของมะเขือยาวยังมีสรรพคุณช่วยกัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียวดับพิษร้อนใน และแก้โรคสันนิบาต

ส่วนใบ ใช้ใบแห้งนำมาตำให้เป็นผงละเอียดประมาณ 6-10 กรัม กินเป็นยาแก้โรคบิดอุจจาระเป็นเลือด แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคหนองใน แก้ตกเลือดในลำไส้ หรือนำมาต้มเอาน้ำใช้ล้างแผล หรือใช้พอกบริเวณที่เป็นแผลบวมเป็นหนอง

ดอก ใช้ดอกสด หรือดอกแห้ง นำมาเผาให้เป็นเถ้าแล้วบดให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาบริเวณที่ปวด เป็นยาแก้ปวดฟัน ฟันผุ และบริเวณแผลที่มีหนอง

สำหรับผลแห้ง นำมาทำเป็นยาเม็ด กินเป็นยาแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ อุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ผลสดนำมาตำให้ละเอียด พอกบริเวณที่เป็นแผลอักเสบที่มีหนอง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังและผดผื่นคัน

สำหรับขั้วผล ใช้ขั้วผลที่แห้ง ประมาณ 60-90 กรัม ต้มหรือเผาให้เป็นเถ้าบดให้ละเอียด กินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้ อุจจาระเป็นเลือด หรือใช้ขั้วผลสดนำมาตำให้ละเอียด พอกหรือทาบริเวณที่เป็นแผลบวมมีหนอง แผลในปาก ปวดฟันหรือเป็นฝี

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดีๆ


เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามร วมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่ายๆ

กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดงดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่างๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความ โรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทน การกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของอคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของอโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเรา ตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
ดอกกุหลาบ สีกุหลาบสื่อความหมาย

สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

สีขาวและแดง สื่อความ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

7 เคล็ดลับอ่านให้จำ ในเวลาจำกัด

อ่านหนังสือกี่ทีกี่ครั้ง ก็จำไม่ได้สักที แถมไม่มีเวลาแล้วด้วย สมาธิก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่อ่านก็ไม่ได้ด้วย เกิดสอบตกขึ้นมาจะเศร้ากว่าเดิม ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้อ่านหนังสือสอบให้จำได้อย่างสบายๆ

1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว

2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ

3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น

4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง

5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา

6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ

7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันตรุษจีน

ตรุษจีน เป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีน มีการจัดงานตามประเพณีที่มีมาแต่ช้านาน และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นที่รู้จักไม่แพ้เทศกาลของชาติฝรั่ง เพราะชาวจีนได้เดินทางออกไปตั้งชุมชนกระจายทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้เข้ามาอยู่บนผืนแผ่นดินไทยจนแนบแน่นกลมเกลียวเสมือนเป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกัน ตรุษจีน เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานนับพันปี นับเป็นวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เดือน 1 ของชาวจีนที่ถือเอาตามปฏิทินแบบจันทรคติ ซึ่งช่วงของการฉลองตรุษจีนนี้จะเรียกกันว่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือจากที่การทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพสำคัญของชาวจีนมาตั้งแต่อดีต การสังเกตสภาพดินฟ้าอากาศและฤดูกาล เพื่อจดบันทึกทำเป็นปฏิทิน เพื่อใช้ในการวางแผนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวจึงเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนจีนที่สำคัญ ดังนั้นแล้ววันตรุษจีนนี้จึงเป็นวันขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ที่บรรพชนชาวจีนได้กำหนดขึ้นมานั้นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าในวันนี้ เทพเจ้าจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ฉะนั้นจึงควรสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลวันขึ้นปีใหม่

ก่อนถึงเทศกาลวันตรุษจีน จะการเตรียมงานล่วงหน้าเป็นเดือน มีการจัดหาของขวัญเตรียมมอบให้แก่กัน ทำความสะอาดบ้านเรือนครั้งใหญ่ ถือเป็นการกวาดเอาสิ่งโชคร้ายในปีนั้นออกไป ประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม ตระเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่เป็นศิริมงคล และแน่นอนว่าสีสันที่ชาวจีนนิยมในการตกแต่งบ้านเรือนและเลือกเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ คือ สีแดง สีอันเป็นมงคลของชาวจีนนั้นเอง ในช่วงเทศกาลนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยสีแดงสด ประตูหน้าต่างถูกทาด้วยสีแดง ป้ายคำอวยพรจากกระดาษสีแดงเขียนด้วยตัวอักษรจีนสีทองแขวนตามบ้านและร้านค้าต่างๆ แต่เดิมเทศกาลวันตรุษจีน เคยมีการฉลองยาวนานถึง 15 วัน ตั้งแต่วันแรกของปีใหม่ไปถึงวันที่สิบห้า ที่เป็นงานฉลองโคมไฟ แต่ในปัจจุบันด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้การจัดงานเหลือวันที่เราๆในประเทศไทยคุ้นเคยกันดีเพียง 3 วัน นั้นคือ วันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

โดยวันแรกนั้นคือวันจ่าย หรือ ตือเส็ก
อันเป็นวันสุดท้ายก่อนสิ้นปี วันนี้ชาวจีนจะพากันจับจ่ายซื้ออาหาร เครื่องเซ่นไหว้ และของใช้ต่างๆ เพื่อเตรียมไว้ใช้ในเทศกาลตรุษจีน เพราะหลังจากวันนี้แล้ว บรรดาร้านคาต่างๆจะพากันหยุดยาว ในเวลาค่ำของวันนี้จะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน

วันไหว้ หรือ วันสิ้นปี วันนี้จะมีการไหว้ 3 ครั้ง
ครั้งที่หนึ่งในตอนเช้ามืด จะทำการไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย คือ การไหว้เทพเจ้าต่างๆ โดยเครื่องไหว้จะประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ 3 อย่างที่เรียกว่า ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด แต่ก็อาจเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือใช้ขอไหว้มากกว่านั้นเป็น เนื้อสัตว์ 5 อย่างก็ได้ ซึ่งก็จะเพิ่ม กุ้งมังกร และ ขึ้นมา นอกจากนี้ก็จะมีน้ำชา เหล้า และกระดาษเงินกระดาษทอง
ครั้งที่สองในตอนสายไม่เกินเที่ยง จะเป็นการไหว้บรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นของจีน ที่แสดงถึงความกตัญญูตามคติจีนนั่นเอง สำหรับของไหว้ก็จะประกอบไปด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน หรือทำตามอาหารที่ผู้ล่วงลับเคยชื่นชอบเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และทำการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากกระดาษ เป็นการอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ

สุดท้ายในตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ ซึ่งเป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งผีไม่มีญาติ เครื่องไหว้จะต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ โดยจะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล รวมทั้งกระดาษเงินกระดาษทอง และในช่วงเวลานี้เองที่เราจะได้ยินเสียงจุดประทัดดังทั่วทุกแห่งหนเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและเป็นสิริมงคลสำหรับปีใหม่

อาหารหลังจากที่ใช้เซ่นไหว้นั้น สุดท้ายก็จะนำมารับประทานร่วมกันในครอบครัวเพื่อความเป็นสิริมงคล และในมื้อค่ำของวันนี้ เช่นเดียวกับวันคืนวันส่งท้ายปีใหม่แบบสากล คืนนี้นับว่าเป็นวันที่สนุกสนานครื้นเครงที่สุด ครอบครัวจะพร้อมหน้าพร้อมตาร่วมวงสังสรรค์เฮฮารับประทานมื้อค่ำร่วมกันอาหารที่รับประทานกัน บรรยากาศของอาหารค่ำ เด็กน้อยวิ่งเล่นหยอกล้อกันสนุกสนาน ผู้ใหญ่ก็ดื่มสังสรรค์ พูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน หากิจกรรมผ่อนคลายร้องรำทำเพลง เล่นเกม หรือตั้งวงไพ่ เพื่อรอต้อนรับวันปีใหม่ที่กำลังเดินทางมาพร้อมกับโชคดีมีชัย

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอเบอร์รี่


1.ดูแลสายตา ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่

3.กำราบโรคมะเร็ง กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ

6.ปราบโรคหัวใจ ใยอาหารโฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ


ประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ
ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้
- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรคโลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี” ... เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

อาหารธรรมชาติ

ปัจจุบันผู้คนเริ่มให้ความสำคัญและสนใจองค์ประกอบของอาหาร ที่มีผลต่อสุขภาพมากกว่ารส ชาติและหน้าตาอาหารจากธรรมชาติเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการดูแลสุขภาพ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาการที่มาจากพืชหรือสัตว์ต่างก็มีองค์ประกอบเฉพาะที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายในการช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ

จากสภาวะความเป็นอยู่ทั้งปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วิถีการดำเนินชีวิต การทำงาน ต่างบั่นทอนพลังกาย พลังสมอง บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา สมองตื้อ ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ค่อยดี หากไม่ได้รับการเหลียวแลนานเข้าก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยตามมา ประโยชน์ของโภชนาการเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเสริมสร้างสุขภาพและ เพิ่มพลังให้กับสมอง ซึ่งชาวจีนจะนิยมเสริมพลังสมองด้วยการบริโภคอาหารโปรตีนธรรมชาติอย่างซุปไก่ ตุ๋นซึ่งถูกพัฒนามาเป็นซุปไก่สกัดในยุคนี้ มีงานวิจัย จากในหลายๆ ประเทศพบว่า ซุปไก่สกัด มีคุณสมบัติในการช่วยลดความอ่อนล้าของสมอง ช่วยให้สมาธิและความจำดีขึ้น เป็นต้น

มีงานวิจัยของ ศ.นพ.อัสฮาล มูฮัมหมัด ชิน และคณะ ในปี 2008 พบว่า ซุปไก่สกัดมีส่วนช่วยเพิ่มสมาธิ ความสามารถในการทำงานหนัก ฯลฯ หรือ จากการประชุมวิชาการของสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2001 มีรายงานว่า ซุปไก่สกัดช่วยเพิ่มคลื่นสมองแอลฟา ที่แสดงความมีสมาธิและความรู้สึกสงบของจิตใจ รวมทั้งงานวิจัยของ ดร.นาไก และคณะจากประเทศญี่ปุ่น ในปี 1996 พบว่าซุปไก่สกัดมีส่วนในการเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของสมอง เพิ่มความรู้สึกสงบของจิตใจ และลดความเหนื่อยล้าที่เกิดระหว่างการทำงาน

อย่างไรก็ตามวิตามินและเกลือแร่ก็เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะในกลุ่มของวิตามินบี ซึ่งประกอบด้วยบี 1 บี 3 บี5 บี6 และบี 12 ซึ่งเป็นอาหารที่ช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังจำเป็นต่อการทำงานของสมองโดยตรงทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับกรดโฟลิคและธาตุเหล็กควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากสารอาหารทั้ง 3 ตัว จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน


นอกจากอาหารแล้ว สมุนไพร ดูจะเป็นที่สนใจและได้รับความนิยมอย่างมาก หนึ่งในสมุนไพรจีนซึ่งกำลังเป็นที่สนใจขณะนี้ก็คือ "โสม" ซึ่งมีสารพฤกษเคมีที่ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภพในการบำรุงร่างกายและจิตใจในสภาวะที่มีการอ่อนเพลียและระยะพักฟื้น รวมทั้ง "ใบแบ๊ะก๊วย" ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่รายงานว่าอาจช่วยป้องกันอาการเสื่อมของสมอง เสริมสร้างความจำระยะสั้น ระยะยาวและการขาดสมาธิ อย่างไรก็ตามพึงระวังในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีประวัติความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด

อย่างไรก็ตาม ต้องปฏิบัติตนให้มีโภชนาการที่ดีรับประทานอาหารให้ครบมื้อครบหมู่ หลีกเลี่ยงสิ่งเสพติดพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและพยายามหมั่นฝึกทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอควบคู่กันไปด้วย แล้วคุณจะพบว่า แค่การรู้จักเลือกสรรสิ่งที่ดีมีประโยชน์ให้กับชีวิตด้วยการหันกลับสู่ธรรมชาตินั้นจะให้ผลที่คุ้มค่าและปลอดภัยเพียงใดแก่สุขภาพกายและใจ