วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ

ตรวจสุขภาพ
- ไม่ควรอดนอน ไม่ควรดื่มสุราหรือกาแฟในคืนก่อนตรวจ เนื่องจากจะทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าความเป็นจริง

- ควรใส่เสื้อที่พับเเขนเสื้อขึ้นได้สะดวกไม่รัดเเน่น เพื่อความสะดวกในการเจาะเลือด

- ถ้ามีการทดสอบสมรรถภาพหัวใจโดยการเดินสายพาน (Exercise Stress Test) ควรใส่เสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวสะดวก

- คุณสุภาพสตรีที่ต้องตรวจภายใน ควรสวมกระโปรง เเละควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน

การงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ
หากต้องการตรวจเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือด ควรงดน้ำเเละอาหารก่อนเจาะเลือด 8 ชั่วโมง เเต่ถ้าต้องการตรวจระดับไขมันในเลือดร่วมด้วย ควรงดอาหารอย่างน้อย 12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด เช่น นัดเจาะเลือดเช้า 8 นาฬิกา ควรงดอาหารหลัง 20 นาฬิกาเเละงดน้ำหลัง 24 นาฬิกาในคืนก่อนหน้านั้น เป็นต้น

ทำอย่างไรไม่ให้มีรอยช้ำบริเวณที่เจาะเลือด
ควรงอข้อพับเเขนข้าที่ถูกเจาะเลือดไว้อย่างน้อย 5 นาที ไม่คลึงหรือนวดบริเวณที่เจาะเลือดเพราะอาจทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังบริเวณ ที่ถูกเจาะเลือดเเตก เป็นรอยช้ำได้ เเต่ถ้าหากมีรอยเขียวช้ำเเล้ว รอยช้ำดังกล่าวจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อาจทายาเเก้ฟกช้ำเช่น ฮีรูดอยด์ ช่วยได้ เเละไม่ควรนวดคลึงบริเวณรอยช้ำนั้น

การเก็บปัสสาวะ
ควรถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อน เก็บปัสสาวะในช่วงกลาง (mid stream urine) จะช่วยลดการปนเปื้อนได้ดีกว่า
สุภาพสตรีที่กำลังมีประจำเดือนไม่ควรตรวจปัสสาวะ เพราะจะเเปลผลไม่ได้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดเเดงปนเปื้อน

เอ็กซ์เรย์ต่างๆ
ถอดเครื่องประดับที่มีโลหะก่อนเอ็กซ์เรย์ สุภาพสตรีงดใส่ชุดชั้นในที่มีโครงเหล็ก เเละไม่ควรเอ็กซ์เรย์ขณะตั้งครรภ์

การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง
ถ้าตรวจช่องท้องส่วนบน (upper abdomen) ควรงดน้ำเเละอาหารก่อนทำ 6 ชั่วโมง ถ้าหิวหรือกระหายน้ำมาก รับประทานน้ำหรือน้ำหวานได้เล็กน้อย

ถ้าตรวจช่องท้องส่วนล่าง (lower abdomen)หรือมดลูก ควรดื่มน้ำมากๆจนปวดปัสสาวะเเล้วจึงตรวจ จะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น

การตรวจลำไส้ใหญ่
ก่อนการตรวจ 2 วัน ควรรับประทานอาหารอ่อนเเละกากน้อย เช่น โจ็ก ข้าวต้ม ไข่ เนื้อปลา น้ำเต้าหู้ เเละควรงดผัก ผลไม้
ก่อนการตรวจ 2 วันต้องรับประทานยาระบายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนเป็นเวลา 2 วัน

การตรวจเอ็กซ์เรย์เต้านม (mammogram)
ควรตรวจก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน 7 วัน งดทาแป้ง โลชั่น และครีมต่างๆ บริเวณเต้านมเเละรักแร้ในวันตรวจ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คัดเค้า : ไม้หอม แก้ฝี

คัดเค้าเป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม้ในบ้านของเรา และก็มีในประเทศเขตร้อนในทวีปแอฟริกาด้วย คัดเค้าจัดเป็นไม้ดอกหอม ดอกมักจะบานตอนเช้าๆแม้จะเคยมีเพลงที่มีเนื้อหาว่า"แม่ดอกโสนบานเช้า พ่อดอกคัดเค้าบานเย็น…" แต่ในความเป็นจริงช่วงเวลาการบานของดอกคัดเค้าตามเพลง ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

คัดเค้าถือเป็นไม้ดอกหอม ดอกมีสีขาว ออกดอกเป็นช่อสั้นตามง่ามใบและปลายกิ่ง ลำต้นจะมีหนาม ซึ่งชาวบ้านมักนิยมปลูกคัดเค้าไว้ริมรั้วด้วยความเชื่อว่า คัดเค้าจะช่วยกันผี(หรือช่วยกันขโมยด้วยก็ได้) กลิ่นคัดเค้าจะหอมชนิดที่สามารถเป็นน้ำหอมได้เลยทีเดียว

ดอกคัดเค้าไม่ได้บานอวดโฉมและกลิ่นในฤดูนี้ แต่จะบานในหน้าหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม เมื่อต้องสายลมเย็นพัดกลิ่นหอมของดอกคัดเค้าซึ่งมักจะหอมจัดตอนกลางคืน จะช่วยทำให้การหลับใหลเต็มไปด้วยความสุข พอรุ่งเช้าเก็บหาผักอะไรรับประทานไม่ได้ เจ้าดอกคัดเค้านี่แหละ เป็นผักที่ทั้งหอมและอร่อยเวลานำมาจิ้มน้ำพริกหรือแกล้มลาบ ส่วนยอดอ่อนของคัดเค้าเป็นผักแกล้มปลาดุกชั้นยอด ซึ่งยอดอ่อนมีให้เก็บกินเป็นผักได้ทุกฤดูกาล เป็นที่นิยมของชาวบ้านทั่วไป ทั้งยังเชื่อว่าการรับประทานใบของคัดเค้าจะช่วยรักษาอาการโลหิตจาง

คัดเค้ามีผลสีสุกสีดำ โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 ซ.ม ทุกส่วนของคัดเค้าคนโบราณนำมาใช้เป็นยาได้ทั้งสิ้น ในตำราไทยกล่าวว่าทั้งต้น รสเฝื่อนฝาด แก้เสมหะ แก้ไข้ เปลือกต้น รสฝาด ปิดธาตุแก้เสมหะ แก้โลหิตซ่าน ใบ รสเฝื่อนเมา ดอก รสขมหอม แก้โลหิตในกองกำเดา ผล รสเฝื่อนปร่า ขับโลหิตประจำเดือนเสีย บำรุงโลหิต บำรุงผิวให้ผ่องใส ราก มีรสฝาด แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้เลือดออกตามไรฟัน

ตำหรับยาที่เข้าส่วนประกอบของคัดเค้ามีมากมายหลายตำรับ ตำรับที่นิยมกันมากคือ การใช้ผลคัดเค้าเป็นยาขับประจำเดือน ตามความเชื่อและหลักการของคนโบราณนั้น สุขภาพของสตรีจะดีหรือไม่ จะสะท้อนด้วยสภาวะการมีประจำเดือน หากประจำเดือนมาสม่ำเสมอเป็นปกติย่อมมีสุขภาพที่ดี สตรีรุ่นก่อนเขาจึงใช้ผลคัดเค้า 1 กำมือต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานเช้าเย็น เป็นยาขับประจำเดือน

รากของคัดเค้ายังนิยมใช้ต้มกินแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ไข้ แก้ท้องเสีย และนิยมฝนกับน้ำซาวข้าวรักษาฝี รักษาแผลทั่วไปโดยเฉพาะแผลสุนัขกัด หมอยาพื้นบ้านท่านหนึ่งเล่าว่า การใช้รากคัดเค้าฝนกับเขี้ยวเสือรักษาแผลที่ถูกสุนัขกัด จะช่วยรักษาแผลนั้นให้หาย และมีความเชื่อว่าจะทำให้สุนัขตัวที่กัดนั้นถึงแก่ความตาย "มันแพ้กันหมากับเสือ"หมอยาท่านนั้นกล่าว

ในการแก้ฝีนั้นนอกจากจะใช้รากแล้ว ยอดของคัดเค้าที่นิยมรับประทานแกล้มลาบก็เป็นยาแปะรักษาฝีชั้นดี เมื่อเป็นฝีก็จะใช้ยอดคัดเค้าขยี้หรือตำคัดเค้าพอกฝี ก็ทำให้ฝีหายเร็วขึ้น รวมไปถึงหนามคัดเค้าก็เป็นหมอรักษาฝีที่ดีไม่แพ้รากและยอด มีการนำเอาหนามคัดเค้ามาฝนรักษาฝีเช่นเดียวกับการใช้ราก นอกจากการใช้ทาภายนอกแล้วยังมีการต้มคัดเค้าทั้งห้าส่วนรับประทาน เพื่อการรักษาฝีทั้งภายในและภายนอกด้วย

การใช้ประโยชน์จากคัดเค้าที่กล่าวมาดูเหมือนจะเป็นเพียงตำนาน หรือเรื่องเล่าที่ขาดข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน ข้อมูลที่มีการศึกษาวิจัยเพียงแต่พบว่าผลคัดเค้าทำให้แท้งได้ สอดคล้องกับการที่คนโบราณที่ใช้ในการขับประจำเดือน ยังพบว่าสารสกัดของคัดเค้ามีสรรพคุณแก้ปวดสำหรับความเป็นพิษสารสกัดของราก คัดเค้าไม่มีพิษ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ดอกมะลิ" สัญลักษณ์แทนใจวันแม่

" คำว่าแม่ "นั้นมีความหมายในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้"

ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน ต่อมามีการเปลี่ยนกำหนดงานวันแม่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนโดยให้ถือว่า วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วย เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี

"ดอกมะลิ” จึงกลายสัญลักษณ์หนึ่งที่มาพร้อมกับเทศกาล “วันแม่” ซึ่งเป็นวันที่บรรดาลูกให้ความสำคัญกับผู้ที่ให้กำเนิดเป็นพิเศษและไม่ว่าจะเลือกดอกมะลิพันธุ์ใด ที่มีประมาณ 10 กว่าพันธุ์ หรือ ซื้ออะไรให้แม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญเท่าความรู้สึกลึก ๆในหัวใจ ของแตละคนที่จะมอบความรัก ต่อแม่ทุกๆวัน และ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รักแม่ กอดแม่ ให้ความสุขกับท่านทุกวัน" เพื่อให้ท่านได้ชื่นใจ เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่” วันแม่ปีนี้อย่าลืมทำให้แม่ผู้มีพระคุณได้มีความสุขกันนะ
มะลิ เป็นพรรณไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ลำต้นสูงประมาณ 5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ ไปตามก้านต้นลักษณะใบป้อมมน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบยาว 2-3 นิ้ว มีดอกมะลิเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อตามปลายยอดหรือปลายกิ่งประมาณ 3-5 ดอก แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกมีสีขาวกลิ่นหอม มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ มะลิออกดอกตลอดปี

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พลูคาว..ต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน

พลูคาวมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ผักคาวตอง ผักคาวปลา ผักก้านตอง ผักเข้าดอง ผักคาวทอง ชื่อภาษาจีนก็มี คือ หื่อชอเช่า ในภาษาแต้จิ๋ว และ ยวีเซียนฉ่าว ซึ่งเป็นชื่อจีนกลาง

พลูคาวชอบขึ้นในที่ร่มรำไร มันชอบน้ำชื้นแฉะ ต้นสูงประมาณ 1 ฟุต ใบเป็นรูปหัวใจสีเขียวหรือรูปร่างคล้ายใบพลูขนาดเล็ก ด้านหลังของใบมีสีม่วง พลูคาวมีดอกน่ารัก มีกลีบสีขาวสี่กลีบ เกสรเป็นตุ่มนูนสีขาวอมเหลือง ลักษณะพิเศษของพลูคาวคือคาวสมชื่อ เมื่อเอาใบมาขยี้แล้วดมดูจะได้กลิ่นคาวปลา ก็สมชื่อผักคาวปลาอีกเช่นเดียวกัน

คนทางเหนือนิยมกิน พลูคาวเป็นผักแกล้มลาบอย่างหนึ่ง ลาบของคนทางเหนือเป็นลาบเนื้อดิบจะเป็นเนื้อหมู วัว ควาย ก็ได้ ใส่เลือดสดๆ ไม่เหมือนลาบอีสาน การทำลาบของชาวเหนือ เช่นลาบหมู เขาจะเอาเนื้อหมูมาสับละเอียดจนเนื้อเหนียวติดมีด คลุกกับเครื่องเทศสมุนไพร สัก 32 ชนิด จากนั้นใส่เลือดสดลงไปแล้วปรุงรส คนทางเหนือเชื่อว่าพลูคาวสามารถฆ่าพยาธิหรือเชื้อโรคได้ จึงนิยมเอามาแกล้มกับลาบที่กินดิบๆ ซึ่งอาจจะมีจุลินทรีย์อยู่ เป็นการป้องกันอาการทางท้อง

สำหรับสรรพคุณทางยาของพลูคาว หมอโบราณใช้รักษาฝี หนอง แก้บิด แก้อาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ใช้ขับนิ่ว แก้ระดูขาว รักษาไซนัสอักเสบ แก้เสมหะ กระทั่งรักษาริดสีดวงทวารที่มีก้อนเนื้อโผล่ออกมาอย่างได้ผล ซึ่งจะเห็นว่าเขาใช้พลูคาวรักษาอาการอักเสบหรือติดเชื้อทั้งสิ้น ส่วนใหญ่จะใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือมาต้มน้ำกินทุกวันจนกว่าจะหาย

ทุกวันนี้มีงานวิจัยสารต้านอนุมูลอิสระจากพลูคาวเพิ่มมากขึ้น และพบว่า มีสารอัลคาลอยด์ที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งสมอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมทั้งมะเร็งเม็ดเลือด
นอกจากนี้พลูคาวยังสามารถใช้เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสหวัด แบคทีเรีย เชื้อรา กระทั่งเชื้อไวรัส HIV ซึ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนความเชื่อของคนโบราณที่ว่าพลูคาวสามารถฆ่าเชื้อโรค ได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลจากห้องทดลอง ยังไม่มีงานวิจัยในคน จึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า พลูคาวสามารถใช้ต้านมะเร็งและป้องกันการติดเชื้อ แต่การกินพลูคาวก็น่าจะได้ประโยชน์และถ้ากินสดได้ก็คงดีไม่น้อย

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระพิฆเนศ


พระพิฆนเศวรเป็นเทพที่มีผู้คนนับถือและเคารพมากที่สุดเนื่องจากเป็นเทพที่มีพระกรุณาเป็นหนึ่งในเทพทั้งหมดและถือกันว่าเป็นปฐมเทพที่จะได้รับการบูชาก่อนเริ่มพิธีกรรมต่างๆเนื่องจากได้รับพรจากศิวเทพเพราะความเฉลียวฉลาด และเป็นเทพที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ พระพิฆเนศวรเป็นเทพที่มีพระวรกายแตกต่างจากเทพอื่นๆทั้งหมดตามที่เราเห็นว่ามีพระวรกายเป็นมนุษย์แต่มีพระพักตร์เป็นคชสาร

ประวัติพระพิฆเนศวร
ในคราวที่พระศิวะเทพทรงไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระแม่ปารวตีเนื่องจากอยู่องค์เดียวเลยเกิดความเหงาและประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามาก่อความวุ่นวายในพระตำหนักในจึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่องค์ศิวเทพเสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงในพระตำหนักด้านในนั้นองค์ศิวเทพได้กลับมาและเมื่อจะเข้าไปด้านในก็ถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันศิวเทพก็ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นพระโอรสที่พระแม่ปารวตีได้เสกขึ้นมา เมื่อพระองค์ถูกขัดใจก็ทรงพิโรธและตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใครเพราะตนกำลังทำตามบัญชาของพระแม่ปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของมหาเทพจนสิ้นใจและศีรษะก็ถูกตัดหายไป

ในขณะนั้นเองพระแม่ปารวตีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาลก็เสด็จออกมาด้านนอกและถึงกับสิ้นสติเมื่อเห็นร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อได้สติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง

เมื่อได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นองค์มหาเทพก็ทรงตรัสว่าจะทำให้เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหา เนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งกระวนกระวายใจเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้เมื่อเห็น เช่นนั้นพระศิวะเลยบัญชาให้เทพที่มาช่วยให้เอาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรก ที่พบมาและปรากฎว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อให้และชุบชีวิตให้ใหม่พร้อมยกย่อง ให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า พระพิฆเนศวร ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังทรงให้พรว่าในการประกอบพิธีการต่างๆทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศวรก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น

ความสำคัญแต่ละส่วนของพระวรกาย
เนื่องจากพระพิฆเนศวรมีพระวรกายที่ไม่เหมือนเทพอื่นๆนั้น ได้มีการอธิบายถึงพระวรกายของพะองค์ท่านดังนี้
1. พระเศียรของท่านหมายถึงวิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิต

2. พระวรกายแสดงถึงการที่เป็นมนุษย์ที่อยู่บนพื้นปฐพี

3. ศีรษะช้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด

4. เสียงดังที่เปล่งออกมาจากงวงหมายถึงคำว่า โอม ซึ่งเป็นเสียงแสดงถึงความเป็นสัจจะของสุริยจักรวาล

5. หระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศน์ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะและหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง

6. พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก

7. มือขวาล่างทรงงาที่หักครึ่งซึ่งพระองค์ทรงใช้เป็นปากกาในการเขียนมหากาพย์มหาภารตะให้มหาฤษี
เวทวยาสมุนีและเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเสียสละ

8. อีกมือทรงลูกประคำที่แสดงว่าการแสวงหาความรู้จะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

9.ขนมโมณฑกะหรือขนมหวานลัดดูในงวงเป็นการชี้นำว่ามนุษย์จะต้องแสวงหาความหวานชื่นในจิตวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะได้มีจิตเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆ

10. หูที่กว้างใหญ่เหมือนใบพัดหมายความว่าท่านพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เราร้องเรียนและเรียกหา

11. งูที่พันอยู่รอบท้องท่านแสดงถึงพลังที่มีอยู่โดยรอบ

12. หนูที่ทรงใช้เป็นพาหนะแสดงถึงความไม่ถือองค์และพร้อมที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่เล็กและเป็นที่รังเกียจของมนุษย์ส่วนมาก