วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของน้ำคลอโรฟิลล์

น้ำคลอโรฟิลล์ เป็นเครื่องดื่มสีเขียวเพื่อสุขภาพ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกผลิตจากสหรัฐอเมริกา มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกบิลในเม็ดเลือด คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟ่า (Alfalfa)

ประโยชน์ คือ ช่วยในการชำระล้าง ขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย / รักษาสมดุล/ บำรุงรักษา คือเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดง ช่วยเสริมบำรุงสุขภาพได้ดีขึ้น

1.ระบบเลือด บำรุงเลือด ล้างพิษ ทำลายอนุมูลอิสระ ในเม็ดเลือด แก้โรคโลหิตจาง และลดความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีอันตรายกับผู้ที่มีความดันเลือด ปกติ

2.ระบบทางเดินอาหาร คลอโรฟิลล์ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก สมานแผลในกระเพาะอาการกระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัว

3.บำรุงปาก ฟัน ระงับกลิ่นปาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการโรค เหงือก อักเสบ

4.รักษาแผลต่าง ๆ คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ ฟื้นฟู เนื้อเยื่อ ของแผลทุกชนิดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งแผลเรื้อรัง แผลเป็นหนอง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลหายช้าหรือหายยากเช่นโรคเบาหวาน

5.ระงับกลิ่น กลิ่นเหม็นจากแผลเรื้อรัง หรือโรคแผลในช่องปาก จะหมดไปทันทีที่แผลสัมผัสกับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลม หรือกลิ่นตัวที่มีกลิ่นแรงมาก การดื่มคลอโรฟิลล์จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

6.ควบคุมสมดุลของแคลเซียม ใครที่บริโภคเนื้อมากเกินไป จะขาดความสมดุลของธาตุแคลเซียม จะทำให้ป่วยเป็นโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ คลอโรฟิลล์จะช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมในร่างกายได้ดี

7.ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษ โดยการสะสมติดต่อกันเป็นระยะ เวลานาน ทุกวันนี้จึงเจ็บป่วยกันบ่อยด้วยโรคหวัด น้ำมูกไหล เจ็บคอ ช่องหูอักเสบ ท้องเสีย ท้องผูกบ่อย ฯลฯ

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานคลอโรฟิลล์กัน จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง

ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น

ประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีผลไม้กินตลอด ปี ไม่ว่าจะเป็น เงาะ ลำไย ส้ม กล้วย ฯลฯ และยิ่งเดี๋ยวนี้เรานำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย จะยิ่งทำให้ประเทศเราอุดมไปด้วยผลไม้นานาชนิด แถมบางชนิดหน้าตาแปลกๆ เพราะเข้ามาจากต่างประเทศ ผลไม้ที่นำเข้ามานั้น จะมีลักษณะเด่นที่ดูแปลกตาคนไทย
จนบางครั้งคนที่เพิ่งเห็นก็จะคิดว่า "เอ๊ะ มันอะไรกันเนี่ย" หรือ "หน้าตาดูไม่น่ากินเลย จะกินได้ไหม" ทำให้หลายคนไม่กล้าลอง แต่ แม้ว่าผลไม้นอกจะมีหน้าตาที่ดูแปลกและสีสันไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยคุณค่าและประโยชน์ที่คาดไม่ถึง จะมีผลไม้อะไรบ้างเราลองมาติดตามดูกันได้เลย...

แก้วมังกร (Dragon Fruit) แก้วมังกรเป็นไม้จำพวกแคนตัส (ตะบองเพชร) เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนไทยนำเข้ามาจากเวียดนาม ที่ได้ชื่อว่า แก้วมังกรนั้น เพราะผลมีลักษณะคล้ายลูกแก้ว อยู่กึ่งกลางระหว่างกิ่ง 2 กิ่ง (คล้ายมังกรกำลังเฝ้าลูกแก้ว) พันธุ์นี้จะมีเนื้อสีขาว ส่วนพันธุ์ที่เนื้อสีแดงจะเป็นสายพันธุ์มาจากไต้หวัน พืชจำพวกกระบองเพชรอย่างแก้วมังกร จะมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) จำพวกโปลีแซคคาไรด์เชิงซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลินและสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และ LDL คอเลสเตอรอลได้

อโวคาโด (Avocado) อโวคาโด มีบ้านเกิดอยู่ในแม็กซิโก เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศเขตร้อนหรือกึ่งร้อน ซึ่งมีปลูกในไทยมานานแล้ว นำเข้ามาโดยหมอสอนศาสนาแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะรสชาติไม่เป็นที่คุ้นลิ้นคนไทย นอกจากนี้หลายคนยังคิดว่าอโวคาโดมีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก แต่จริงๆ แล้ว ไขมันในอโวคาโดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนน้ำมันมะกอก ทั้งยังมีวิตามิน อี สูง ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงผิว

กีวี (Kiwi) กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล มีขน มองอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน กีวีมีถิ่นเกิดอยู่ที่เมืองจีน แต่เป็นที่นิยมที่นิวซีแลนด์ กีวี มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย

ลูกพรุน, ลูกพลับ และ ลูกไหน (Prun, Plub & Plum) หลายคนคงสงสัยว่า ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร ความจริงแล้ว ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนเป็นการนำลูกพลับมาตากแห้ง ส่วนลูกไหนเป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลับ ประโยชน์ของลูกพรุนนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามิน บี สาวๆ ที่ต้องการลดความอ้วน กินลูกพรุนเยอะๆ จะดี เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย

เบอร์รี่ (Berry) เบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ว่าจะเป็นสตอร์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง นอกจากนี้จะมีโปรแตสเซียม และเส้นใยอาหารสูงด้วย - แบล็คเบอร์รี่ มีโฟโตเคมีคอล ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยในเรื่องการขับถ่าย - บลูเบอร์รี่ ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - ราสเบอร์รี่ มีใยอาหาร วิตามินซี, เค และยังมีแมงกานีสที่ช่วยการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทับทิม (Punica/Stone Apple) ทับทิม เป็นผลไม้ขนาดเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้มงคลหรือประดับเพื่อความสวยงามมากกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เป็น ร่มเงา ทับทิมนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอก ใบ ราก และผลยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๖ ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงทำให้ทับทิม มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง ขับพยาธิ แก้ร้อนใน แก้ไข้ตัวร้อน บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร

กระทกรก / เสาวรส (Passion Fruit) กระทกรก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรส เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอสูง ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี สูง คือ 39.1 มก./100 มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก

มะเม่า (Mamao) มะเม่า เป็นผลไม้สมุนไพร สายพันธุ์เดียวกับเบอร์รี่ มีบ้านเกิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่นิยมมาทำเป็นไวน์ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ต่างชาตินิยมเป็นอย่างมาก เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี, บี1, บี2 และวิตามิน อี ทั้งยังให้แคลเซียมและธาตุเหล็กด้วย มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้มดลูกอักเสบบวมช้ำ ขับเลือดและน้ำคาวปลา

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หัวผักกาดขาว: อาหารช่วยย่อยที่ดี

อาหารสมุนไพร ที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน หากท่านผู้อ่านท่านใดได้เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง “หมอชาวบ้าน” เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป จีนเป็นแหล่งกำเนิด แห่งหนึ่งของหัวผักกาดขาว และเป็นอาหารที่สำคัญชนิดหนึ่งของชาวจีน ชาวจีนได้รู้จักหัวผักกาดขาวมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปีแล้ว ดังบันทึกไว้ในหนังสือเอ๋อหย่า ซือจิง และ เซินหนง เปิ่นฉ่าวจิง (ตำรายา)

สรรพคุณ
หัวผักกาดขาว : มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเย็น (เป็นยิน) ช่วยย่อย แก้ไอมีเสมหะ ไม่มีเสียง อาเจียนเป็นโลหิต ท้องเสีย

เมล็ด : มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเป็นกลาง แก้ไอมีเสมหะ และหืด ช่วยให้ย่อย ท้องเสีย

ใบ : มีรสเผ็ดขม คุณสมบัติเป็นกลาง ช่วยย่อย เจ็บคอ ท้องเสีย ขับน้ำนม

ตำรับยา
1. อาการเรอเปรี้ยว : หั่นหัวผักกาดขาวดิบ 3-4 แว่นเคี้ยวกิน

2. เสียงแห้งไม่มีเสียง : คั้นน้ำหัวผักกาดขาว แล้วเติมน้ำขิงเล็กน้อยดื่ม

3. ไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือโดนสะเก็ดไฟ : ตำหัวผักกาดขาวให้แหลกแล้วพอกบริเวณที่เป็น หรือจะใช้เมล็ดทำให้แหลกแล้วพอกก็ได้

4. ฟกช้ำดำเขียว (ไม่เป็นแผล) : ใช้หัวหรือใบดำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณที่เป็น หรือใช้เมล็ด 60 กรัม ตำให้ละเอียด คลุกกับเหล้า (อุ่นให้ร้อน) พอกบริเวณที่เป็น
5. แผลในปาก : คั้นน้ำหัวผักกาดขาวแล้วใช้บ้วนปากบ่อยๆ

6. หวัด : ต้มหัวผักกาดขาวดื่มน้ำ

7. ไอ : หัวผักกาดขาวพอประมาณใส่ขิงและน้ำผึ้งเล็กน้อยต้มดื่มน้ำ

ข้อควรระวัง
ผู้ที่มีอาการม้ามบกพร่อง คือ มีอาการท้องอืด แน่น เป็นประจำ กินอาหารแล้วไม่ค่อยย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ไม่ควรกิน แต่ถ้ามีอาการท้องอืด แน่น ชั่วคราวเนื่องจากกินอาหารที่ย่อยยาก หรือกินมากเกินไป หัวผักกาดขาวมี Mustard oil ซึ่งมีรสเผ็ด เมื่อสารนี้รวมกับเอนไซม์ในหัวผักกาดขาว มีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหว ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น และยังช่วยย่อยอาหารอีกด้วย ดังนั้นหลังกินอาหารจำพวกเนื้อหรือของมันๆ ควรกินหัวผักกาดขาวสักเล็กน้อย

เนื่องจาก Amylase ในหัวผักกาดขาวไม่ทนต่อความร้อน จะถูกทำลาย ณ อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นอกจากนี้วิตามินซีก็ไม่ทนต่อความร้อนสูง ดังนั้นจึงควรกินหัวผักกาดขาวดิบๆ

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผัก-ผลไม้ที่ผู้หญิงควรรับประทาน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผักผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงใด ถึงแม้สาวๆ จะไม่ค่อยนิยมชมชอบ อย่างไรก็ตาม แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์โดยตรงกับสาวๆ เรามาลองดูกันว่ากินผักผลไม้แบบไหนจึงตรงประเด็นที่สุด

1.ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

2.ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินปีด้วย มีนักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบว่า เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่ว) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้ว ในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย จึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร

3.บร็อกโคลี มีซีลีเนียมมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวล แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

4.กล้วย โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือน และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง สาวๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ

5.ฝรั่ง รู้หรือไม่ว่าฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง 'คอลลาเจน' ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่นไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย

6.แอปเปิ้ล มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ 'เพคติน' ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิลไว้ก่อนเลย
7.ส้ม เป็นแหล่งวิตามินเกลือแร่และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผอมได้ง่ายๆ ด้วยถั่วขาว

สุขภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว ณ เวลานีน้ ดังนั้นการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่แทบทุกคนใฝ่หาว่าจะทำ ให้ได้เป็นอาจิณ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.ดร.สมพงศ์ สหพงศ์ นักวิชาการชื่อดังในเรื่องถั่วขาว ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ อาทิ ยุโรป อเมริกาให้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยละลายไขมันส่วนเกิน ได้กล่าวว่า จากผลการวิจัยพบว่าประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกากว่า 60% กำลังประสบปัญหาการมีน้ำหนักเกินกว่าระดับมาตรฐานโดยเป็นประชากรเด็กและวัย รุ่นถึง 25% นอกจากนี้ยังพบอีกว่า 1 น 3 ของประชากรกลุ่มผู้ใหญ่กำลังอยู่ในภาวะโรคอ้วนคุกคาม ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบต่อเนื่องมายังประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ปัจจุบันโรคอ้วนและเบาหวาน กำลังสร้างปัญหาติดอันดับต้นๆ ของโรคที่คนไทยเป็นกันมาก

"สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคหรือกินสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จำพวกแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งพบมากในอาหารประเภทข้าว ขนมปัง มันฝรั่ง และเส้นก๋วยเตี๋ยว เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะมีกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลกลูโคส นำตาลที่ได้จากการย่อยแป้งนี้ ส่วนหนึ่งร่างกายจะนำไปใช้ในขณะที่น้ำตาลส่วนที่เหลือนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ที่ต้นขา หน้าท้อง สะโพก ฯลฯ"

แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี ศ.นพ.ดร.สมพงศ์ บอกว่า ถั่วขาวมีฤทธิ์เป็นกลาง ดังนั้น แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคเข้าไปจึงไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลได้ ทำให้ร่างกายรับพลังงาน จากแป้งลดลงถึง 66% เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงไม่เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวันจึงต้อง เผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมออกมาใช้มากขึ้น จึงทำให้มีรูปร่างสมส่วนโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร และไม่มีผลกระทบกับสารอาหารชนิดอื่นๆ

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สบู่ในห้องน้ำสาธารณะ...ใครว่าไม่สำคัญ

สบู่ในห้องน้ำเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวยง สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25% ส่วนสบู่เหลวแบบหมดแล้วทิ้งไม่พบเลย

ทั่วโลกต่างเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกเป็นระลอกสอง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็มีโครงการรณรงค์ให้คนไทยรู้จักป้องกันโรคดังกล่าว ด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายอย่าง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย”

อย่างไรก็ตาม ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่รีบเร่งจนบางครั้งอาจไม่ยั้งคิดว่า เรื่องใกล้ตัวอย่างการล้างมือด้วยสบู่ในห้องสาธารณะ ทั้งในร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยอาริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25%

งานวิจัยครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์หาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ที่ตาคนเรา มองไม่เห็น โดยได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่างทั้งที่เป็นสบู่เหลวแบบเติม และสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) พบว่า สบู่แบบเติม 133 ตัวอย่าง หรือ 25% มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน

65% ของเชื้อที่พบคือ เชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่น ที่มีโอกาสส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่นั่นเอง แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการศึกษาในครั้งนี้ก็คือสบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ แบบปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) กลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราจึงควรหันมาใส่ใจในการล้างมือในที่สาธารณะให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นการล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมเชื้อโรคไปแบบไม่รู้ตัว

นอกจากการล้างมือด้วยสบู่เหลวแล้ว จากการวิจัยของ American Journal of Preventive Medicine 2001 พบว่าการล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5 ครั้งต่อวันก็สามารถลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึง 45%

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มะเฟืองผลไม้ควบคุมน้ำหนัก

มะเฟืองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Averrhoa carambola L. ,วงศ์ Oxalidaceae
ชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ Carambola, Star Fruit หรือ Star Apple

มะเฟือง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลักษณะเป็นทรงพุ่ม มีทั้งลักษณะตั้งตรงและกึ่งเลื้อย เป็นไม้เนื้ออ่อน โตช้า สูงไม่เกิน 30 ฟุต แกนกลางมีไส้คล้ายฟองน้ำสีแดงอ่อน ลำต้นสีน้ำตาล เปลือกลำต้นไม่เรียบ
ใบเป็นใบประกอบ รูปใบมนรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบด้านบนเรียบด้านล่างมีขนบาง ใบย่อยที่ปลายก้านมักใหญ่ ใบเรียงตัวแบบเกลียว

ดอกมะเฟือง ออกตามซอกใบเป็นช่อสั้นๆ มีสีชมพูอ่อนไปจนถึงเกือบแดงตรงกลางหลอดดอกมีสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบโค้งงอ โคนกลีบดอกจะมีสีเข้มกว่าปลายกลีบ ดอกมีกลิ่นหอม

ผลอวบ น้ำมีรูปร่างแปลก ยาวได้ถึง 5 นิ้ว ผลหยักเว้าเป็นร่องลึก 5 ร่อง ผลอ่อนสีเขียว สุกแล้วมีสีเหลืองใส เปลือกผลบางเรียบมันรับประทานได้ เวลาหั่นขวางจะเป็นรูปดาวสวยงาม มีเมล็ดรีสีน้ำตาล สามารถกินได้ทั้งผลสุกและผลอ่อน

เชื่อว่ามะเฟืองมีถิ่นกำเนิดแถบศรีลังกาและมะละกา เป็นไม้พื้นเมืองแถบอินโดนีเซีย อินเดีย และศรีลังกา นิยมปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ ยังพบมะเฟืองปลูกที่สาธารณรัฐโดมินิกัน บราซิล เปรู กานา กายานา ซามัว ตองกา ไต้หวัน French Polynesia คอสตาริกา และ ออสเตรเลีย ที่ฟลอริดาตอนใต้และฮาวาย สหรัฐอเมริกา มีแหล่งเพาะปลูกมะเฟืองเชิงพาณิชย์ พบว่าประเทศมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกมะเฟืองรายใหญ่ที่สุดของโลก

สายพันธุ์มะเฟือง
มะเฟืองเปรี้ยว เป็นพันธุ์ดั้งเดิมของประเทศไทย มีทั้งชนิดผลใหญ่และเล็ก
มะเฟืองพันธุ์ไต้หวัน ขนาดผลใหญ่พอประมาณ กลีบผลบาง ขอบบิด มีรสหวาน

มะเฟืองพันธุ์กวางตุ้ง มีสีขาวนวล ขอบกลีบผลสีเขียว มีรสหวาน

มะเฟืองพันธุ์มาเลเซีย ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อฉ่ำน้ำ น้ำหนักมาก มีรสหวานอมเปรี้ยว

สรรพคุณทางยา
ผลมะเฟือง ดับ กระหาย แก้ร้อนใน ลดความร้อนภายในร่างกาย บรรเทาอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ขับเสมหะ ใช้ขจัดรังแค บำรุงเส้นผม ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น และบรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟัน
ใบและราก ปรุงกินเป็นยาดับพิษร้อน แก้ไข้ ใบสดตำใช้พอกตุ่มอีสุกอีใสและกลากเกลื้อน
ใบต้มน้ำอาบแก้ตุ่มคัน
ใบอ่อนและรากมะพร้าว ผสมรวมกันต้มดื่มแก้ไข้หวัดใหญ่
แก่นและรากต้มกินแก้ท้องร่วง แก้เส้นเอ็นอักเสบ
ข้อควรระวัง
มะเฟือง มีกรดออกซาลิกสูง ผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตไม่ควรกินมะเฟืองเพราะจะเกิดอาการข้าง เคียงและเจ็บป่วยมากได้ นอกจากนี้แล้วมะเฟืองมีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ไซโทโครม พี 450 ซึ่งมีหน้าที่ในการกำจัดยาหลายชนิด เชื่อว่าโพรไซยาไนดินบี 1 และบี 2 และ/หรือโมเลกุล 3 ซึ่งประกอบด้วยคาทีชินและ/หรืออีพิคาทีชินเป็นสารที่ออกฤทธิ์ดังกล่าว ผู้ป่วยที่กินยาลดไขมันและยาคลายเครียดตามคำแนะนำแพทย์จึงไม่ควรบริโภค มะเฟือง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
มะเฟือง มีคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชันสูง มีสารกลุ่มโพลีฟีนอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันมาก สารสำคัญในกลุ่มนี้ที่พบในมะเฟือง ได้แก่ กรดแอสคอบิก อีพิคาทีชิน และกรดแกลลิกในรูปของแกลโลแทนนิน

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

น้ำแอปเปิล...เสริมความจำ

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผล สามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้น กล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิล ยังอาจช่วยเสริมความจำ และป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มี ชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมอง จนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริม หรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม จนสามารถเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์ แบบเดียวกับที่เกิดในคน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็น แต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในเนื้อสมองลดลง แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้น ในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้น จะมีพฤติกรรมการเรียนรู้ และความจำที่ดีกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล

จึงเป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้ อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง อันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้น ที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8 ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Jules Verne


เกิด : 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1828 ประเทศฝรั่งเศส

ถึงแก่กรรม : 24 มีนาคม ค.ศ.1905 ประเทศฝรั่งเศส

อาชีพ : นักเขียน


แนวทางการเขียน : นิยายวิทยาศาสตร์


ชูลส์ กาบรีล แวร์น (ฝรั่งเศส: Jules Gabriel Verne) (8 กุมภาพันธ์, พ.ศ. 2371 - 24 มีนาคม, พ.ศ. 2448) หรือที่รู้จักกันว่า จูลส์ เวิร์น เกิดที่เมืองนองส์ (Nantes) ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์สมัย แรกๆ แวร์นมีชื่อเสียงจากการเขียนเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ ใต้น้ำ และการเดินทางต่างๆ ก่อนจะมีการประดิษฐ์เรือดำน้ำ หรืออากาศยานจริงๆ เป็นเวลานาน นวนิยายของเขามักใส่เนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่สมจริง ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกันในสมัยนั้นแต่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างดีในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะบุกเบิกงานด้านนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อหาแนวอื่นๆ ที่เขาเขียน

บทประพันธ์ที่สำคัญได้แก่ Around the World in Eighty Days, Five Weeks In a Balloon, 20,000 Leagues Under the Sea นิยายวิทยาศาสตร์ในยุคท้าย ๆ ของ จูลส์ เวิร์นจะเริ่มสะท้อนถึงการมองเห็นด้านมืดของเทคโนโลยีรวมถึงการนำเทคโนโลยี ไปใช้อย่างผิดทาง เช่น The Clipper of the Clouds, The Master of the World จูลส์ เวิร์นเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ภายเขาได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์โลก" ร่วมกับ เฮช. จี. เวลล์ (Herbert George Wells) นักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งนักเขียนทั้งสองคนนี้ได้มีอิทธิพลต่อนิยายวิทยาศาสตร์และวงการวิทยาศาสตร์มาจนถึงปัจจุบันนี้

ชื่อของชูลส์ แวร์น ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ ยานขนส่งอัตโนมัติ (Automated Transfer Vehicle - ATV) ลำแรกขององค์การอวกาศยุโรป ซึ่งจะทำหน้าที่ขนส่งพัสดุ รวมทั้งต้นฉบับนิยายวิทยาศาสตร์ของเขา ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โอเอซิส ซีเวิลด์

โอเอซิส ซีเวิลด์ ได้เปิดดำเนินการและจดทะเบียนในนาม บริษัท โอเอซีส ซีเวิลด์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2533 โดยมีจุดกำเนิดและความเป็นมาเริ่มต้นจากความสงสารและต้องการอนุรักษ์โลมา ของคุณวิชัย วัฒนพงศ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท โอเอซิส ซีเวิลด์ จำกัด จากการที่ได้พบว่ามีโลมาติดอวนของชาวประมง ในบางครั้ง แล้วนำมาชำแหละเนื้อขายในราคากิโลกรัมละ 20-30 บาท คุณวิชัยเกิดการรู้สึกสงสารและคิดที่จะช่วยอนุรักษ์โลมาไทยเหล่านี้จึงได้เริ่มศึกษาและทดลองช่วงปลายปี 2531 โดยขอซื้อโลมาที่ติดอวนของชาวประมงแต่ยังไม่ขายนำมา เลี้ยงในบ่อเลี้ยงกุ้งที่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นการชั่วคราว ช่วยรักษาบาดแผลที่เกิดจากอวนและการขนส่งจนหายดี

จากการสัมผัสและดูแลอย่างใกล้ชิด พบว่าโลมาเป็นสัตว์ที่น่ารัก เลี้ยงดูง่าย เรียนรู้ได้รวดเร็วและโลมาสามารถกินอาหารจากมือผู้เลี้ยงได้ภายในระยะเวลาเพียง 20 วัน จึงได้ขยายแนวความคิดไปในรูปแบบของการขยายพันธุ์ การแสดงโชว์ ดังเช่นในต่างประเทศ หลังจากได้ทดลองเลี้ยงโลมารุ่นแรกจำนวน 4 ตัว และได้ผลดีสามารถรักษาบาดแผลต่างๆ ที่โลมาได้รับจากทะเล และการติดอวน ควบคุมโรคและรักษาการเจ็บป่วย รวมถึงการดูแลให้อาหารที่เหมาะสมได้ จึงได้มีการรับโลมาที่บาดเจ็บและติดอวนมาเพื่อนำมารักษาและเลี้ยงดูมากขึ้น ปัจจุบันมีโลมาที่มีความสมบูรณ์เป็นพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ จำนวนมากทั้งสองสายพันธุ์ คือพันธุ์ปากขวดสีชมพู ( Indo-Pacific Humpback Dolphin ) และพันธุ์หัวบาตร ( Irrawaddy Dolphin )

โลมาพันธุ์ปากขวด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปากยาวลักษณะคล้ายคอขวดหรือปากขวด มีกระโดงที่ส่วนหลังแหลมกว่าหัวบาตร เมื่ออายุน้อยจะมีสีเทาที่ส่วนหลัง ส่วนท้อง มีสีชมพู พออายุมากขึ้น ส่วนหลังที่เป็นสีเทาก็จะเริ่มกลายเป็นสีชมพูทั้งตัว จนกระทั่งเป็น Pink dolphin (โลมาสีชมพู ) โลมาสายพันธุ์นี้จะมีนิสัยน่ารัก ฉลาด แสนรู้ ซุกซน น่าเกรงขาม

โลมาพันธุ์หัวบาตร เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ศีรษะกลมๆ ปากสั้นคล้ายลูกวาฬ กระโดงหลังกลมมน ลำตัวมีสีเทา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีไม่ว่าจะอยู่ในวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ สายพันธุ์นี้จะมีนิสัยนุ่มนวล น่ารัก ฉลาด ซุกซน แสนรู้ เหมือนกับเด็กๆ ใบหน้าเหมือนจะยิ้มตลอดเวลาเมื่อโผล่เหนือน้ำ

โลมาทั้งสองสายพันธุ์มีหัวใจ 4 ห้อง หายใจด้วยปอด ระยะเวลาในการตั้งท้อง 9 –12 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พอๆ กับมนุษย์ โดยสามารถสื่อสารกันได้ด้วยสัญญาณเสียงในคลื่นความถี่สูง

จากการเลี้ยงดูที่ดีในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม โอเอซีสฯ มีลูกโลมาเกิดขึ้นหลายตัว ซึ่งลูกโลมาทุกตัวอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงเป็นปกติ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการเลี้ยงดู และการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ปัจจุบันมีลูกโลมาหลายตัวที่เติบโตขึ้นและสามารถแสดงโชว์ เป็นดาราเอกของโอเอซีส ซีเวิลด์ เช่น สิงห์สมุทรและพุดซ้อนในชุดสกีโลมา, น้องเอ กับการกระโดดลอดห่วงกว่า 5 ห่วง

ปัจจุบัน โอเอซีส ซีเวิลด์ เปิดการแสดงโชว์ทุกวัน ซึ่งโลมาสามารถแสดงกิจกรรมเด่นๆในการโชว์กว่า 30 รายการ นอกจากนี้ ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสกับโลมาอย่างใกล้ชิด โดยการเล่นน้ำกับโลมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้มาเยือนซึ่งเป็นคนไทย และชาวต่างชาติเป็นอย่างมากและบริษัทฯ ยังคงดำเนินการและพัฒนาต่อไป เพื่อให้โอเอซีส ซีเวิลด์ เป็นโลกของโลมา นำชื่อเสียงสู่คนไทย ด้วยความภาคภูมิใจใน
"การฝึกโลมาพันธุ์ไทย โดยคนไทย รูปแบบไทย"

นอกจากนี้ โอเอซีส ซีเวิลด์ ได้ขยายโครงการในการเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ด้วยการเปิดเพื่อเป็นแหล่งความรู้ของเยาวชนโดยผ่าน Dolphin Camp ทั้งการเข้าค่ายลูกเสือ การลงฐานผจญภัย และการเข้าค่ายแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจหรือการจัดสถานที่สำหรับประชุม รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจรทั้งที่พัก และร้านอาหาร

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค เพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา

โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

1.กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิต หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหน หลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ