วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำผึ้ง เพื่อสุขภาพและความงาม

น้ำผึ้งคือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆบ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกินร้อยละ 20-21 แต่ถ้าหากเก็บน้ำผึ้งในหน้าที่มีน้ำมากไม่มีการระเหยน้ำออกมาให้อยู่ในมาตรฐานอาจทำให้เกิดกระบวนการหมัก ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวและเกิดแก๊สขึ้น อาจมีการระเบิดได้ถ้าเก็บไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิท ดังนั้นคนโบราณจึงนิยมให้ใช้น้ำผึ้งเดือนห้า เพราะปริมาณน้ำน้อยและมีดอกไม้หลายชนิดบานในช่วงเวลาดังกล่าว คุณภาพของน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ หรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้นๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสร ดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน

น้ำผึ้งยาอายุวัฒนะของทุกชนชาติ
ทุกชนชาติทั้งจีน ยุโรป เอเชีย แอฟริกา อินเดียต่างมีความเชื่อร่วมกันว่า น้ำผึ้งมีสรรพคุณบำรุงสุขภาพและเป็นยาอายุวัฒนะ

หมออายุรเวทถือว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะและไม่เพียงมีคุณค่าทางยาเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอีกด้วย เช่น ใช้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้า

ทางยาหมออายุรเวทเชื่อว่าน้ำผึ้งมีสรรพคุณชำระล้างบาดแผล รักษาแผล สมานเนื้อเยื่อ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ตรีโทษ ลดไขมัน บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล เสริมสร้างสติปัญญา และบำรุงกำหนัด นิยมใช้ในการแก้ไอ แก้หอบหืด ร่างกายซูบโทรม รักษาอาการบาดเจ็บ หมายถึงถูกกระทบกระแทกแล้วร่างกายบอบช้ำ ทั้งยังใช้แก้อาเจียน แก้สะอึก วิงเวียน มึนงง แก้ท้องเสีย (ใช้น้ำผึ้งเก่า) แก้อาการเลือดออกง่าย แก้กระหาย เป็นลม รักษาโรคเกี่ยวกับตา แก้พิษ และรักษาโรคพยาธิ เป็นต้น เวลาใช้จริงส่วนใหญ่มักไม่ใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวล้วนๆ แต่จะผสมในยากวนบ้าง ผสมในยาดอง หรือไม่ก็ใช้เป็นกระสายยา และยังใช้น้ำผึ้งผสมเพื่อให้กินง่ายขึ้น

น้ำผึ้งในตำรับยาไทย
ส่วนน้ำผึ้งในตำรับยาไทยนั้นมีการใช้คล้ายกันกับการใช้ของทางอายุรเวทคือใช้เป็นน้ำกระสายยา ใช้แต่งรสยาและใช้เป็นยา โดย หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

-น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนผู้ป่วยกินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด

-น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น จากพืช (น้ำมะนาว) จากธาตุ (เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ) จากสัตว์ (งาช้าง)

น้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลยและไม่ควรกินน้ำผึ้งในปริมาณมากเกินไป ประเภทครั้งละครึ่งแก้วไม่ดีแน่ อย่างเก่งแค่ครั้งละ 1 - 2 ช้อนชา

สารสำคัญในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟรักโทส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ

กรดชนิดต่างๆ ประมาณร้อยละ 0.5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบฟลาวิน ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส) ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา
1.รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลและลดการอักเสบ น้ำผึ้งถือว่าเป็นยารักษาแผลชั้นเลิศ โดยสามารถใช้แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ผลชะงัดนัก โดยให้ใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ยิ่งทาบ่อยยิ่งดี หรือถ้าเกิดถูกมีดบาดหรือมีบาดแผล หลังจากล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาดแล้ว ให้น้ำผึ้งทาหรือจะใช้น้ำผึ้งผสมกับผงขมิ้นชัน คลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นแผล จะช่วยลดการอักเสบและช่วยให้แผลหายเร็ว เพราะทั้งน้ำผึ้งและขมิ้นชันนั้น มีสรรพคุณรักษาบาดแผล สมานเนื้อเยื่อและบำรุงผิวอีกด้วย

2.รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

3. ต้านข้ออักเสบ ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

4. แก้อาการท้องผูกและแก้ท้องเสีย น้ำผึ้งเป็นทั้งยาระบายและแก้ท้องเสีย กล่าวคือถ้าเป็นน้ำผึ้งเก่าคือน้ำผึ้งที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปจะช่วยแก้ท้องเสีย แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งใหม่ประเภทเพิ่งเก็บจากรังไม่นานจะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ก่อน 6 เดือน ชาจะเป็นยาระบายในเด็กอ่อนที่ปลอดภัยยิ่ง การใช้น้ำผึ้งแท้สักประมาณ 1 ช้อนชา ผสมน้ำต้มสุกสัก 3 ช้อนหรืออาจกินร่วมกับผักผลไม้ เช่น การกินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

5. แก้นอนไม่หลับ น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรืออาจใส่ในชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

6. บำรุงเลือด เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

7. บรรเทาอาการไอ ถ้าเป็นหวัดก็ให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำคั้นจากขิงแก่ ดังตำรับตัวอย่างคือ ส่วนผสม : น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด 1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง) วิธีทำ : คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง วิธีกิน : กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง หรือบีบมะนาวฝานสดๆ 1 เสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ และจิบน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ อมไว้ หายไอดีมาก นอกจากนี้การใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำคั้นจากใบกะเพราแดงและน้ำคั้นจากใบเสนียด แก้ไอ และบรรเทาอาการหอบหืด ได้ผลชะงัดนักกับอาการไอที่ไม่ค่อยมีเสมหะ แต่ถ้าไอมีเสมหะ ก็จะใช้น้ำผึ้งผสมกับผงดีปลีแทน

8. เป็นอาหารสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
ส่วนผสม : น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม วิธีทำ : ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง วิธีกิน : ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง สำหรับผิวหน้าสดใส น้ำผึ้งเป็นผลิตผลจากธรรมชาติที่ใช้ในการดูแลผิวพรรณคู่กับน้ำนมมาอย่างยาวนาน นับแต่สมัยพระนางคลีโอพัตราอันเลอโฉมแห่งอียิปต์ คือน้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งมีสารเพิ่มความชุ่มชื้น มีฮอร์โมนมีสารที่มีฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถผสมในสมุนไพรอื่นที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวเช่น นม กล้วย มะละกอ ขมิ้น บัวบก มะม่วง เป็นต้น โดยพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่ายๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก ให้ใช้น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอนไซม์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใดๆ

ถนอม ‘ดวงตา’ หน้าคอมพิวเตอร์

สำหรับ คนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ไม่ใครก็ใครคงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรือมีอาการทางสายตาอื่นๆ บ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดหลัง เมื่อยคอ อาการเหล่านี้มักเกิดกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน

ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมงต่อวัน หรือมากกว่านั้น หรือไม่ก็เริ่มมีอาการอย่างที่บอกบ้างแล้ว ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1.กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้งเกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2.จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ และควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ชม. จัดระดับจดภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่กว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3.ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงานเพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกิน ไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่างควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วนและ ไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้านที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4.เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งานควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เรายังสามารถ อ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์แบบเก่า (CRT)

5.เลือกใช้แว่นตาที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อนที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรส เซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพโดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ ทั่วไป

6.พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมงควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาแบบง่ายๆ
การ บริหารกล้ามเนื้อตาเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อตาเพื่อช่วยลดความตึงเครียด ของดวงตา อาการเพลียตา หรือปวดตาเนื่องจากใช้สายตามาก โดยมีวิธีปฎิบัติดังนี้

1.กลอกตาขึ้น - ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยเหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ในระหว่างการบริหารอย่างเกร็งลูกตา

2.กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุด และซ้ายสุด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง

3.ชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2 - 3 วินาที ทำสลับไปมาเช่นนี้ประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ

4.กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกา ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ สุดท้ายคือคำแนะนำจากความปรารถนาดีว่า เราควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตาเป็นประจำ เพราะโรคตาบางอย่างจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงขั้นรุนแรงแล้ว หากตรวจพบโรคตาตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียสายตาได้ ดวงตาของเรามีค่าควรถนอมรักษาให้อยู่กับเรานานเท่านาน

สุดท้ายคือคำแนะนำจากความปรารถนาดีกว่าเราควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตาเป็นประจำ เพราะโรคตาบางอย่างจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงขั้นรุนแรงแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

บุคลิกภาพที่ดี

บุคลิกภาพเป็นเรื่องของภาพรวมที่ตัวเราแสดงออกไป ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวโดยมีคนอื่นมองอยู่หรือรู้สึกกับสิ่งที่เรา แสดงออก ดังนั้น จึงต้องมีการระมัดระวังและ ตกแต่งเสริมเติมให้บุคลิกภาพของเรายิ่งน่ามอง และเป็นที่ประทับใจของคนรอบตัว มี 7 ข้อที่ดิฉันอยากเตือนให้ดูแล ใส่ใจ และนำไปเป็นองค์ประกอบของการ สร้างสรรค์หรือตกแต่งบุคลิกภาพให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิม คือ

1. การมอง สายตาสามารถบอกถึงความรัก ความเกลียดชัง ความเมตตา ปรานี ความโกรธแค้น ความเคารพนับถือ หรือความเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลน ได้ ฉะนั้น เมื่อเราจะมองใคร เราจะต้องพยายามใช้สายตาด้วยความสุภาพเรียบร้อย ระวังในการใช้สายตาอย่าให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดหรือรู้สึกติดลบได้

2. การแต่งกาย การแต่งกายบ่งบอกความพิถีพิถันและเอาใจใส่ตัวเอง ช่วยทำให้คนคนหนึ่งดู ดีหรือดูแย่ได้ ทุกครั้งที่เลือกเครื่องแต่งกายหรือกำลังจะแต่งกาย ให้ต้องคำนึงถึง ความสะอาดเรียบร้อย ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่งกายให้พอดี อย่าให้ มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกลายเป็นน่าเกลียด

3. การพูด ต้อง มีศิลปะในการพูด พูดให้ชนะใจผู้ฟัง โดยจะต้องใช้คำพูดที่มีเหตุผล สุภาพ ไพเราะ มีน้ำเสียงชวนฟัง เสียงดังฟังชัด ฉะฉาน และใช้คำพูดที่เหมาะสมกับ ผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของ ผู้ฟัง ทั้งยังต้องคำนึงถึงสถานที่ เวลา และโอกาสด้วย

4. การเดิน ให้เดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งเพื่อให้ดูสง่า แต่ไม่ต้องถึงกับหลังตรงตัวแข็งเหมือนนักเรียนนายร้อย เดินให้มีท่าทางสง่าและเรียบร้อย เวลาเดินให้ก้าวเท้ายาว พอประมาณ และสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่ ว่าก้าแค่ไหนจึงดูคล่องแคล่วและปลอดภัย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจนเกินไป เพราะเสียงฝีเท้าจะไปรบกวนผู้อื่น ไม่เดินผ่ากลางผู้อื่นที่ยืนสนทนากันอยู่

5. การแสดงท่าทาง ต้องระวังท่าทางที่ไม่สวยงาม เวลาพูดหรือทำอะไรก็ตาม อย่ามีการแสดงท่าประกอบมากเกินไปจนน่าเกลียด หรือแสดงท่าที่ไม่สุภาพ ท่าทางที่ดีจะต้องมาจากพื้นฐานของความสงบ สำรวม ให้เกียรติทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ควรมีท่าทางประกอบเพื่อให้ดูผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ สง่า และเสริมในสิ่งที่พูดหรือเล่า นอกเหนือจากนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมีท่าทางประกอบแต่อย่างใด

6. ทักษะในการทำงาน ใน การทำงานใดๆ ก็ตามจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ต้องทำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ด้วยความชำนาญ และให้ได้ผลงานดีเด่น ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่าให้น้อยไปกว่าความสามารถที่เรามีหรือทำได้ ความน่าชื่นใจของผู้ร่วมงานหรือ หัวหน้างานทุกคนก็คือ การมีเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่ทำงาน "เต็ม ความสามารถ"อยู่ตลอดเวลา นั่นคือบุคลิกแห่งความสำเร็จด้วยค่ะ

7. สุขภาพ ต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าให้มีโรค ระวังรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่ป่วยออดๆ แอดๆ จะดูเป็นคนขี้โรค ซึ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าน่าชื่นชม ดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว โรคบางรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยว หม่นหมอง จึงขาดสง่าราศี การดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญที่สุด

สุขภาพนั้น ยังหมายรวมถึงรูปร่างและทรวดทรงด้วย อยากแต่งกายได้สวยหล่อ มีสง่า สะดุดตา ก็ต้องมีรูปร่างที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อน เสื้อผ้าที่มีรสนิยม เข้ากับสีผิว กาลเทศะ และฐานภาพของผู้สวมใส่ จะยิ่งขับเน้นให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นบุคลิกภาพที่ดีสร้างเสริมกันได้ค่ะ ไม่มีใครดูดีมาแต่อ้อนแต่ออก มาพัฒนากันทีละเล็กทีละน้อยในภายหลังทั้งนั้น แต่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นแหละค่ะ คือความดูดีที่แท้จริง

น้ำแข็ง...แก้ปวดจริงหรือ???

คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือความเย็นที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจ หลักของการบำบัดแบบนี้ก็คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้ เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่าง ๆ ดังนี้

ปวดหลัง อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของจากการทำงานบ้าน ทำสวน หรือทำงาน หนัก ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันทีหลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา

ปวดไมเกรน คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมี รอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้น ประมาณ 5-30 นาที และประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรนโดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย

ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง นักกรีฑาหรือผู้มีอาชีพที่ต้องทำงานยกของหนัก จำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้หลังจากออกกำลัง ซึ่ง เป็นที่ยอมรับกันว่า น้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายเกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด

หิ่งห้อยทำไมจึงมีแสง

หิ่งห้อย มีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า Firefly หิ่งห้อย แมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน มักอาศัยใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดตามต้นไม้ริมน้ำ เช่น ต้นกกและต้นลำพู

เพราะอะไรหิ่งห้อยจึงกะพริบเมื่อหิ่งห้อยหนุ่มพบหิ่งห้อยสาวที่หมายปอง มันก็จะกระพริบแสงเป็นจังหวะของมัน ถ้าหิ่งห้อยสาวพอใจก็จะกระพริบตอบด้วยจังหวะเดียวกัน จากนั้นทั้งสองก็ผสมพันธ์ เมื่อหิ่งห้อยสาวตั้งท้องและวางไข่มันก็จะตายจากไปแสงของหิ่งห้อยเกิดจากสาร เรืองแสงในตัวของมัน ซึ่งเปล่งออกมาบริเวณปลายปล้องท้อง และในอดีตคนเรายังใช้แสงหิ่งห้อยเป็นเครื่องนำทางสร้างความสวยงามให้กับธรรมชาติในยามค่ำคืน

หิ่งห้อยทำไมถึงอยู่ต้นลำพูหิ่งห้อยไม่ได้อยู่เพียงแต่ต้นลำพู เพียงเพราะว่า หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหารเพียงแต่กินน้ำหรือน้ำค้างที่เกาะอยู่ตาม ใบไม้ ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงทำให้น้ำค้างเกาะอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นอาหารของหิ่งห้อยอย่างดี

หิ่งห้อยทำไมจึงมีแสง แสงที่เกิดจากหิ่งห้อยเป็นแสงที่ไม่มีความร้อน เราเรียกแสงที่เกิดขึ้น โดยปราศจากความร้อนว่า แสงนวล (Luminescence) แสงในตัว หิ่งห้อยเกิดจากสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ซึ่งจะรวมตัวกับออกซิเจน ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาแสงสว่าง แต่ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมี สารลูซิเฟอเรส (Luciferase) อยู่ด้วย ลูซิเฟอเรสทำหน้าที่เป็นตัวช่วย (catalyst) ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นเท่านั้น ปริมาณแสงสว่างที่เกิดจากหิ่งห้อยมีน้อยมาก คือ เพียงประมาณ 1 ใน 1,000 ของแสงสว่างจากเทียนไขธรรมดา เราสามารถประดิษฐ์ แสงแบบนี้ได้ในห้องทดลอง แต่สารทั้งสองคือ ลูซิเฟอริน และ ลูซิเฟอเรส ต้องได้มาจากตัวหิ่งห้อยโดยตรง เพราะนักเคมียังไม่ สามารถสังเคราะห์สารทั้งสองนี้ได้

หิ่งห้อยชอบอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มีน้ำใสสะอาดในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืช หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ และที่สำคัญตรงนั้นต้องเป็นน้ำนิ่ง ไม่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น ตามทุ่งนาและบ่อน้ำตามชนบท บางชนิดอยู่ตามดินในป่าและตามป่าชายเลน ต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะกระพริบแสง ไม่ไช่ต้น ลำพู อย่างเดียว ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบโปร่ง ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตาม ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นโพทะเล โดยเฉพาะป่าชายเลนที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ โดยหิ่งห้อยจะกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้รวมทั้งต้นไม้ที่อยู่ตามริมน้ำต่างๆ

แสงของหิ่งห้อย เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของสาร Luciferin ซึ่งอยู่ในอวัยวะทำแสง ทำปฏิกิริยาโดยใช้หลอดลม มีเอนไซม์ Luciferase เป็นตัวกระตุ้นและมีสาร Andenosine triphosphate (ATP) เป็นตัวให้พลังงาน สำหรับเรื่องความสวนงามของการกระพริบแสงแล้วัวผู้จะสวยกว่าเพราะต้องล่อตัวเมียมาผสมพันธุ์

วงจรชีวิตของหิ่งห้อย เป็นไข่ 9 วัน เป็นหนอน 79 วัน ดักแด้ 6 วัน โตไม่เกิน 1 เดือนก็ตาย สงสัยเลยถามทำไมชีวิตช่วงเป็นหนอนนานกว่าผีเสื้อ เพราะว่าร่างกายของหิ่งห้อยมีเปลือกแข็งห่อหุ้มร่างกายทำให้ต้องใช้เวลาในการพัฒนานาน ตอนเป็นหนอนดักแด้อาศัยอยู่ในดิน และจะกินไข่ของหอยเชอรี่(หิ่งห้อยน้ำกร่อยเท่านั้นนะ)

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้สบู่อะไรดี

สบู่นั้นจัดเป็นเครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ใช้กันมากในชีวิต ประจำวัน และเป็นสิ่งที่มีการแข่งขันกันในส่วนการตลาดสูง สบู่แต่ละยี่ห้อต่างก็โฆษณาสรรพคุณของตนอย่างพิเศษพิสดาร บ้างก็ว่าเป็นสูตรลับ แต่โบราณ บ้างก็ว่าเป็นวิทยาการ แผนใหม่ สำหรับสบู่ที่ใช้ทั่วไปในชีวิต ประจำวัน มีดังนี้

1. สบู่ทั่วไป (basic toilet soaps) เป็นสบู่ที่ผลิตจากเกลือของไขมันสัตว์หรือพืช เพื่อใช้ทำ ความสะอาดร่างกาย บางครั้งมีการ ใส่น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เพื่อทำให้สบู่มีฟองมาก แลดูน่าใช้ ขึ้น เป็นสบู่ที่ใช้กันทั่วไปตามห้องน้ำ มักมีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย ยามใด ที่อาบน้ำล้างหน้าด้วยสบู่นี้ ก็ย่อม ขจัดสิ่งที่อยู่บนผิวหนังซึ่งประกอบ ด้วยฝุ่นละออง เครื่องสำอาง น้ำมัน แบคทีเรีย เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ได้แก่ ขี้ไคลและเหงื่อออกไปได้ สบู่ชนิดนี้ปกติได้ผลดีกับผิว หนังของคนทั่วไป ทำความสะอาด ได้หมดจด และมีราคาย่อมเยา แต่ ถ้ามีผิวหนังอ่อนบาง ระคายเคือง ง่าย หรือเป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว สบู่ แบบนี้อาจทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดความระคายเคืองมากเกินไปจึงอาจจำเป็นต้องเลือกสบู่ชนิดอื่น แทน

2. สบู่ใส (transparent soaps) นั้นมีลักษณะคล้ายสบู่ที่มีไขมันสูง คือมีไขมันผสมอยู่มาก มักมีส่วน ผสมของน้ำมันละหุ่งสูง สบู่ชนิดนี้ เหมาะสำหรับผิวที่แห้งและไวต่อการแพ้ มีการเติมกลีเซอรีน แอล-กอฮอล์ และน้ำตาลลงไปในเนื้อสบู่ เพื่อทำให้เนื้อสบู่ใสและอ่อนนุ่ม

ข้อเสียของสบู่ชนิดนี้คือ มักไม่ค่อยเป็นฟอง และมักละลายง่าย ในจานรองสบู่ ดังนั้นจึงไม่ควรใส่สบู่แบบนี้ในจานรองสบู่ แต่ควรปล่อยให้แห้ง ในแง่การใช้ไม่พบว่า สบู่ใสดีหรือมีคุณสมบัติเหนือกว่าสบู่ที่มีไขมันสูงในแง่ใด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ ละคนด้วย สบู่ชนิดนี้มักมีราคาสูง

3. สบู่ไร้ฟอง (soapless soaps) มีส่วนประกอบเป็นสารสังเคราะห์ดีเทอร์เจนซึ่งเตรียมจากน้ำมันปิโตรเลียม นักเคมีทาง ด้านเครื่องสำอางได้พยายามปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่สังเคราะห์แบบนี้ให้มี ความเป็นด่างน้อย และ ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยลง แม้ สบู่ตัวนี้จะไม่ค่อยมีฟอง แต่ก็ทำ ความสะอาดได้ดีมาก สบู่เหลวไร้ฟองสามารถใช้กับคนที่มีผิวไวต่อ การแพ้ได้ ดังนั้นเวลาล้างหน้าจึงไม่ควรถูหน้าฟอกหน้าแรงๆ เพราะ จะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้น ใน กรณีที่มีผิวแห้งอยู่แล้ว ถ้าใช้ครีม ให้ความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้าทาหลังล้างหน้าก็จะช่วยได้มาก

4. สบู่ที่มีไขมันสูง (super-fatted soaps) มีน้ำมันและไขมัน ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าสบู่ทั่วไป ไขมันและน้ำมันที่นิยมใช้ผสม ได้แก่ ลาโนลิน น้ำมันมะกอก เนยโกโก้ไขมันชนิดที่เป็นกลาง และโคลด์ครีม การผสมน้ำมันและไขมันเข้า ไปในสบู่ชนิดนี้ช่วยป้องกันไม่ให้สบู่ ทำให้ผิวแห้งจนเกินไปนัก สบู่ที่มี ไขมันสูงมีทั้งคุณสมบัติในการขจัด ไขมันที่อยู่ที่ผิวหนัง (นั่นคือ ทำให้ ผิวหนังแห้ง) ควบคู่ไปกับการเติม ความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยน้ำมันและ ไขมันในสบู่ (นั่นคือมีผลเหมือนครีมให้ความชุ่มชื้น) สบู่แบบนี้จึง เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งและอ่อนบาง

ส่วนสบู่ที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง คือ

1. สบู่ยา (medicated soaps) มีตัวยาประกอบอยู่ เช่น กำมะถัน กรดซาลิไซลิก เบนซอยล์เปอร์-ออกไซด์ และยาฆ่าเชื้อโรค ยาพวกนี้อาจใช้ได้ผลในการรักษาโรคผิวหนังบางอย่างจริง เมื่อผสม อยู่ในรูปของครีมและโลชั่น แต่ไม่ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ยืนยันว่าตัวยาเหล่านี้เมื่อผสมกับ เนื้อสบู่แล้วจะได้ผลประการใดต่อ ผิว ทั้งนี้เพราะเราฟอกสบู่เพียง ชั่วครู่แล้วก็ล้างออก ยาจึงออกฤทธิ์ ไม่ทัน สบู่ประเภทนี้ทำให้ผิวอัก-เสบระคายเคืองได้บ่อยจึงไม่แนะ- นำให้ใช้

2. สบู่ดับกลิ่นตัว (deodorant soaps) นั้น ตามปกติไม่ควรจะใช้บนใบหน้า กลิ่นตัวเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียย่อยสลายของ เหลวที่ต่อมเหงื่อ " อะโปครีน " หลั่งออกมา สบู่ดับกลิ่นตัวก็คือสบู่ธรรมดาที่เพิ่มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลงไป เพื่อยับยั้งไม่ให้แบคทีเรียที่ เป็นตัวการทำให้เกิดกลิ่นบนผิวหนังทำงานได้ สบู่พวกนี้มักมีกลิ่นไม่หอม จึงนิยมผสมน้ำหอมลงไปเพื่อดับกลิ่นยา เนื่องจากผิวหน้าไม่มีต่อมเหงื่ออะโปครีนจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะใช้สบู่ชนิดนี้ สบู่ดับกลิ่นตัวมักทำให้ผิวแห้ง แต่ ถ้าเป็นคนที่มีกลิ่นตัว สบู่นี้ก็เหมาะ ที่จะใช้ถูตัวโดยเฉพาะบริเวณรักแร้

3. สบู่ขัดถู (abrasive soaps) มีเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ปะปนอยู่ เมื่อ ใช้สบู่ขัดถูอาบน้ำล้างหน้า ชิ้นส่วน เหล่านี้จะขัดถูผิวหนัง จุดประสงค์ ของการใส่ชิ้นส่วนเล็กๆ ก็เพื่อถู ไถเอาชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังส่วน นอกสุดที่ไร้ชีวิตแล้วออกไป โดยทั่วไปแล้วคนที่ผิวปกติไม่สมควรใช้สบู่พวกนี้ เพราะถ้าเป็นผิวแห้ง จะทำให้แห้งและระคายเคือง หาก เป็นคนที่มีหน้ามัน ผิวมันมากจริงๆ สบู่ขัดถูนี้อาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ในกรณีที่ผิวหน้ามีสิวหรือมีการอักเสบอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ใช้สบู่ ขัดถู ทั้งนี้เพราะจะทำให้ทั้งสิวและ ใบหน้าอักเสบระคายเคืองยิ่งขึ้น

4. สบู่ที่มีส่วนผสมของผลไม้ ผัก และสมุนไพร (fruit, vegetable and herbal soaps) คือสบู่หรือ ดีเทอร์เจนที่มีการใส่ส่วนผสมต่างๆ" ตามธรรมชาติ " ลง ไป เพื่อเร้าความสนใจของผู้ซื้อว่า สบู่นี้จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพผิวโดยสาร ธรรมชาติที่มาหล่อเลี้ยงและเป็นอาหารให้ผิวหนัง แต่แท้จริงแล้วส่วนประกอบของสบู่พวกนี้ ไม่แตกต่างไปจากสบู่ทั่วไปเลย ส่วน ผสมของผลไม้ ผัก และสมุนไพร ที่แต่งเติมลงไปอาจช่วยให้สบู่มีกลิ่นมีสีน่าใช้มากขึ้น แต่สารเหล่า นี้โดยแท้จริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์ อะไรต่อผิว จะมีประโยชน์ก็แต่กับ ผู้ผลิต เพราะสบู่พวกนี้มีราคาสูง

สบู่นั้นจะช่วยเพียงแค่ขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง แต่ไม่สามารถทำให้ผิวอ่อนเยาว์ลงได้ หรือไม่สามารถขจัดรอยเหี่ยวย่นเหี่ยวแก่ ควรเลือกสบู่ที่อ่อนที่สุดใช้แล้วผิวไม่แห้งหรือแห้งน้อยที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด โดยที่มีราคายุติธรรม

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

มีวิธีการกินอย่างไร..ให้สุขภาพดี ?

อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค เพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา

โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

1.กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิต หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหน หลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

อันตรายจากการนอนดึก

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ในผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก ก็คือ ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า และระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหารท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่) การท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด

ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม แต่ที่คันทั้งวัน เพราะปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ)

พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายจะสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น จึงควรดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกายเบา ๆ แค่ให้เหงื่อออกได้ ยิ่งนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

นอนหลับได้ก็สบายใจ

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเข้าหลับนอนยามหัวถึงหมอนเมื่อไรแล้ว หลับทันทีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา น่าอิจฉาคนที่นอนหลับได้อย่างง่ายดายเมื่อเข้านอน บางคนการนอนให้หลับเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ทรมานทุกทีเมื่อล้มตัวลงนอน แม้จะนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ สบาย ๆ แต่ก็ยังพลิกตัวแล้วพลิกตัวอีกก็ไม่หลับสักที บางคนอาจจะใช้หลาย ๆวิธีแบบโบราณอย่างเช่นนับหนึ่งถึงร้อย หรือนับแกะจนแกะแทบจะหมดฟาร์มก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายบางคนต้องพึ่งยานอนหลับจากร้านค้า ยานอนหลับอาจจะทำให้หลับได้จริง แต่นั่นไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุดมันส่งผลบั่นทอนสุขภาพอีกด้วย มีวิธีที่จะทำให้นอนหลับง่าย ๆ ดังนี้

1. เข้านอนเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดียวกันทุกวันเป็นประจำ จะเป็นการจัดระบบแบบแผนการนอนหลับที่ดีให้แก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายได้หลับพักผ่อนเต็มที่ในเวลาที่ต้องการ

2. เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง เมื่อรู้สึกง่วงนอนควรหยุดทำทุกอย่าง แล้วเข้านอนพักผ่อน แต่ถ้าเมื่อเข้านอนแล้วยังไม่หลับ ควรหากิจกรรมเบา ๆทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์เมื่อรู้สึกง่วงแล้วค่อยเข้านอน จะช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น

3. เลือกเสียงเพลงขับกล่อม การสร้างบรรยากาศที่ดีเลือกด้วยการเสียงเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจทำให้จิตสงบผ่อนคลายบรรเลงเบา ๆ ขณะเข้านอน เสียงเพลงนั้นจะขับกล่อมให้คุณเคลิ้มหลับได้ไม่ยาก และยังช่วยเร่งการนอนหลับให้เร็วขึ้น

4. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะไปรบกวนระบบการนอนปรกติของคุณสามารถปลุกให้ตื่นกลางดึกได้ สิ่งที่ควรทำหลังรับประทานอาหารมื้อเที่ยงคือ งดมันทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น

5. ปรับม่านรับแสง การจัดสิ่งแวดล้อมก่อนเข้านอนมีผลต่อการหลับอย่างหนึ่งได้เช่นกันโดยทั่วไปแสงสว่างจะปลุกให้ตื่นโดยอัตโนมัติ ถ้าคุณเป็นคนทำงานกลางคืนต้องนอนกลางวันควรปรับม่านรับแสงให้แสงสว่างเล็ดลอดเจ้าห้องนอนน้อยที่สุด จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายขึ้น

6. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน ตามหลักกายภาพอธิบายว่าเครื่องดื่มอุ่น ๆ จะสามารถเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้น ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว หากคุณนอนไม่หลับจริง ๆ นมอุ่นๆ หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ สักแก้ว อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

7. ตรวจสอบยาที่รับประทานก่อนนอน ยาหลายชนิดเป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ทุกครั้งเมื่อคุณได้รับยาที่ต้องรับประทานก่อนนอน

8. อย่าซื้อยานอนหลับมารับประทานเอง แม้ว่ายานอนหลับจะช่วยให้คุณหลับได้จริง แต่มันส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ยานอนหลับมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอย่างอ่อน และทำให้ง่วงเหงาหาวนอนในระหว่างวันด้วย ทางที่ดีแทนที่คุณจะใช้ยานอนหลับ คุณควรหากิจกรรมทำในช่วงเย็น เช่น ออกกำลังกายให้ร่างกายได้ใช้แรงบ้าง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

การนอนไม่หลับไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่หลายคนที่ต้องเผชิญกับอาการนอนไม่หลับที่แสนจะทรมาน ย่อมไม่ปรารถนาที่จะเจอ เพราะเมื่อนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากจะทำอะไร อารมณ์ก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย บั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพจิต คิดอะไรสมองก็ไม่ปลอดโปร่ง วิธีง่าย ๆ 8 วิธี ดังกล่าวมาแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนฝันหวาน การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายที่ทำงานล้ามาตลอดทั้งวันได้พักผ่อน พร้อมทั้งจิตใจและสมองที่คุณใช้ความคิดมาทั้งวันก็จะได้พักด้วย เรียกได้ว่านอนหลับฝันหวานสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็จะพบกับความสดชื่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ร่างกายพร้อมจะทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีตามมา ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่นก็เป็นไปอย่างมีความสุข

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

กรดไขมันจำเป็น

ไขมัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็ว่าได้ เซลล์ของเราทุกเซลล์มี ไขมัน เป็นโครงสร้าง เยื่อหุ้มเซลล์ก็คือ ไขมัน 2 ชึ้นที่มาประกบกันอยู่ ถ้าขาดไขมันเสียเซลล์ก็จะไม่เป็นเซลล์ เมื่อไม่มีเซลล์ก็ไม่มีตัวเรา พูดให้ง่ายก็คือ ไม่มีไขมันก็ไม่มีชีวิตปราศจากโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่สุดของชีวิต

ไขมัน เป็นกลุ่มอาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันปริมาณเท่ากับคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน จะให้พลังงาน มากกว่าถึง 2 เท่า อาหารประเภทแป่ง น้ำตาล และโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี่ แต่ไขมัน 1 กรัมให้พลังงานถึง 9 แคลอรี่ การดำเนินชีวิตประจำวันย่อมต้องการพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การเขียนหนังสือ การกระโดดโลดเต้น การขับรถ การช็อปปิ๊ง ร่างกายล้วนต้องการพลังงาน
ไขมัน ช่วยในการดูดซึมสารอาหารจำเป็นเช่นวิตามินที่ละลายใน ไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค นอกจากนี้ ไขมัน ทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในของเราจากการกระทบกระแทก เช่น ตับ ไต หัวใจ ล้วนต้องการไขมันหุ้มเอาไว้ไม่ให้เป็นอันตรายจากการเคลื่อนไหวของตัวเรา ไขมันยังเป็นวัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมนสำคัญ ๆ ในร่างกาย

กรดไขมันอิ่มตัว คือ ไขมันที่เป็นไขมันเต็มตัว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่โดย สมบูรณ์ และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับสารใด ๆ ในร่างกาย พบมากในพวกไขมันสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และไขมันจากกะทิ มะพร้าว เนย และไข่แดง

กรดไขมันไม่อิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัว ก็คือ ไขมัน ที่ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจน จับกันยังไม่สมบูรณ์ ยังมีช่องว่างในลูกโซ่ เหลืออยู่ และพร้อมจะเปลี่ยนแปรสภาพเป็นสารอื่น ๆ ได้ พบมากในน้ำมัปลาซัลมอนด์ น้ำมันเมล็ดพันธ์บอเรจ น้ำมัน อิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันจมูกข้าวสาลี

กรดไขมันจำเป็น ( Essential Fatty Acids ) ถ้าพูดถึง กรดไขมันจำเป็น แปลว่าเป็น กรดไขมัน ที่ร่างกายสร้างขึ้นใช้เองไม่ได้ต้องอาศัยการกินเข้าไป นั่นคือ เราต้องกิน กรดไขมัน จำเป็นจากอาหาร เพราะมันมีความจำเป็นต่อร่างกายของเรา กรดไขมัน จำเป็นเป็นส่วนย่อยของ ไขมัน ที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งมีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายต้องนำมาใช้เพื่อสร้างความสมดุลย์ ความแข็งแรง รวมทั้งการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่าง ๆ

กรดไขมันจำเป็น พบได้ในอาหารที่เราบริโภคทุกวัน ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ กรดไขมันจำเป็น มีหลาย ชนิด แต่ที่เรามักได้ยินและคุ้นหู และเป็นที่ยอมรับของวิทยาศาสตร์ทั่วโลกว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากคือ

- โอเมก้า 3 ( Linolenic หรือ Alpha Linoleic Acid ) น้ำมันปลา ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต ลดการอักเสบ ของโรคไขข้อเสื่อมรูมาตอยด์ ลดอาการปวดหัวไมเกรนและปวดประจำเดือน เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายและลดอาการของ โรคภูมิแพ้

- โอเมก้า 6 ( Linoleic Acid ) น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โดยการลดการแข็งตัวของเลือดด้วย การลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดทำให้หลอดเลือดที่หัวใจเป็นปกติ ลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ลดการขยาย ตัวของเซลล์มะเร็ง สามารถช่วยบำรุงตับและใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่ดื่มสุรา หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ป้องกันโรคสมอง เสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ โดยลดการแข็งตัวของเยื้อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทำให้สมองได้รับอ๊อกซิเจนมากขึ้น

- โอเมก้า 9 ( Oleic Acid ) ช่วย ลดระดับคอเรสตอรอล ในเลือด

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

เครียดบ่อยระวังเป็นโรค IBS

ถ้าสะสมความเครียดอยู่บ่อยๆ อาจเกิดอาการแสบแน่นท้อง ท้องผูก ท้องเสีย หรือคลื่นไส้อาเจียนจนเป็นโรค IBS ได้

คุณแม่ลูกสองอย่าง กวินเน็ธ พัลโทรว์ มักเล่นโยคะเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังหมั่นกินอาหารแมโครไบโอติกและจำกัดการกินน้ำตาล รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ทั้งนี้ นอกจากเธอจะมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ระบบขับถ่ายของเธอก็ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อเธอดูแลตัวเองได้อย่างมีความสุข ปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรค IBS (Imitable Bowel Syndrome) หรือโรคลำไส้แปรปรวนเช่นเดียวกับที่ ไทร่า แบงก์ส เผชิญอยู่ ก็มีน้อยลงไปด้วย

โรค IBS คืออะไร
ถ้าใครเคยมีอาการเครียดลงกระเพาะอยู่บ่อยๆ เช่น เจอความเครียดกับการงาน หรือเจอความเครียดจากปัญหาต่างๆ รุมเร้า รวมทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลาและกินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยวจัด มันจัด หรือเผ็ดจัด แล้วเกิดอาการแสบท้อง แน่นอืด มีลมเยอะ ลำไส้บีบมวน คลื่นไส้อาเจียน บางครั้งอาจถ่ายแข็ง ถ่ายเหลว หรือทั้งแข็งและเหลวสลับกันไป

คนวัยใดมักป่วยเป็นโรค IBS
ที่พบบ่อยคือผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน อย่างไรก็ดี โรคนี้คนหลากหลายอายุก็สามารถเป็นได้

ถ้าป่วยแล้วเป็นอันตรายถึงชีวิตมั้ย
โรคนี้จะเป็นเรื้อรัง คือเป็นๆ หายๆ ตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักรู้สึกรำคาญ แต่สุดท้ายก็ปรับตัวได้ อย่างไรก็ดี ก่อนที่หมอจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ได้ ต้องมีการตรวจอย่างละเอียดเสียก่อน เพราะอาการพื้นฐานของ IBS จะมีอาการคล้ายๆ กับโรคร้ายบางโรค ฉะนั้น ถ้าสงสัยควรให้หมอตรวจให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายอื่นๆ เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งตับ ฯลฯ

โรคหวัดลงกระเพาะถือเป็นโรค IBS หรือไม่
ไม่เป็น แม้จะมีอาการคล้ายโรค IBS แต่โรคหวัดลงกระเพาะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ฉะนั้นจึงถือว่าโรคหวัดลงกระเพาะเข้าข่ายกลุ่มอาการการติดเชื้อไวรัสใช้หวัดเสียมากกว่า เมื่อไข้หวัดหายแล้ว อาการเหล่านั้นก็จะหายตามไปด้วย

วิธีรักษาโรค IBS
ก่อนอื่นผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยให้แน่ชัดเสียก่อนว่าป่วยเป็นโรคนี้แน่ๆ อันดับต่อไปให้สร้างความคุ้นเคยกับหมอรักษา เพราะโรคนี้เป็นเรื้อรัง ฉะนั้น ต้อมีหมอที่เข้าใจการรักษาในระยะยาว หลังจากนั้น ก็ต้องรักษาตามอาการ ถ้าท้องผูกให้กินอาหารที่มีกากใยเยอะๆ ถ้ามีอาการท้องเสียให้เลิกกินอาหารที่ก่อให้เกิดการท้องเสีย หรืออาหารที่ทำให้มีแก๊สเยอะๆ อย่างถั่ว

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ต้นกำเนิดการชูสองนิ้ว

การชู 2 นิ้ว หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "V sign" นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของ "ชัยชนะ" คือ V แทนคำว่า Victory อย่างไรก็ตาม การชูสองนิ้วยังหมายถึง "สันติภาพ" และ "การดูถูกท้าทาย" ได้อีกด้วย

โดยหากเราไปแสดงอากัปกริยาด้วยการ ชูสองนิ้วแต่หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง ในสหราชอาณาจักร อย่าง อังกฤษ สกอตแลนด์แล้ว ถือว่าเป็นการแสดงท่าทางดูถูกต่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ โดยความหมายของการทำเช่นนี้นั้น จะเหมือนกับการที่เราไปทำท่า "ชูนิ้วกลาง" (The Finger) ให้คนอื่นเลยทีเดียว

ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา การชู 2 นิ้วนั้นจะใช้กันในความหมายที่ว่า เป็นการแสดงสันติภาพมากกว่า โดยเริ่มได้รับความนิยมมาจากการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสันติภาพในช่วงทศวรรษที่ 1960

สำหรับประเทศในทวีปเอเชียนั้น ส่วนใหญ่จะใช้กันตอนถ่ายรูปโดยไม่ได้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่เลย แต่ในเวลาต่อมา ผู้คนนอกทวีปเอเชียเริ่มหันมาชู 2 นิ้วตอนถ่ายรูปกันมากยิ่งขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากบรรดาการ์ตูนของญี่ปุ่นที่ไปได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆ โดยบางคนเชื่อว่า การที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชู 2 นิ้วนั้นต้องการสื่อถึงเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ญี่ปุ่นโดนบอมบ์ด้วยระเบิดปรมาณูไป

ทั้งนี้สำหรับจุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้นไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กระนั้น เป็นที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่า จุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น เริ่มจากพลธนูชาวเวลส์ ที่ต่อสู่ร่วมกับอังกฤษในการสู้รบที่หมู่บ้านอกินคอร์ต ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1415 อันเป็นส่วนหนึ่งของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งมีการกล่าวไว้ว่า ทหารฝรั่งเศสจะตัดนิ้วมือข้างขวาของพลธนูชาวเวลส์ที่ถูกจับตัวได้ไป 2 นิ้ว จนไม่สามารถยิงธนูได้อีก ด้วยเหตุนี้ บรรดาพลธนูชาวเวลส์ที่ยังไม่ถูกจับตัวจึงชูนิ้ว 2 นิ้วเป็นการดูถูกท้าทายทหารของฝรั่งเศส

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของสับปะรด

ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย

สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด

การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน

การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถวๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อนๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และเอ็มไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทาน

ทราบถึงประโยชน์ของสับปะรดกันแล้ว ก็อย่าลืมหันมารับประทานสับปะรดกันเยอะๆ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของสีสันในผักและผลไม้


ผัก และผลไม้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในการย่อยและระบบขับถ่าย ยิ่งไปกว่านั้นสีสันของผักและผลไม้ต่าง ๆ ยังมีประโยชน์ อย่างที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าสีของผักและผลไม้จะไปมีประโยชน์ได้อย่างไรกัน? ในความเป็นจริงแล้วสีสันสวยงามในพืชผักและผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นสีแดงสดใสในมะเขือเทศ สีเหลืองเปล่งปลั่งในมะม่วงสุก สีส้มเข้มข้นในแครอท หรือแม้แต่ผักต่าง ๆ ที่มีสีเขียวสด นอกจากจะช่วยให้เรามีความรู้สึกว่าอาหารนั้นมีหน้าตาน่ารับประทานและมีรส ชาติเอร็ดอร่อยแล้ว สีสันที่ว่านี้ยังมีคุณประโยชน์และมีบทบาทมากพอ ๆ กับวิตามินเลยทีเดียว

สีสัน ในพืช ผัก และผลไม้ที่เราเห็นกันนั้นมาจากสารเคมีตามธรรมชาติที่แตกต่างกันไป ได้แก่ คลอโรฟีลล์, แคโรทีนอยด์, เบตาแคโรทีน, แอนโทไซยานิน เป็นต้น โดยสารเคมีตามธรรมชาติที่ว่านี้จะมี คุณสมบัติที่ทำให้พืช ผัก และผลไม้แต่ละชนิดมีสีสันที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น คลอโรฟีลล์เป็นสารที่ทำให้ผักมีสีเขียว, แคโรทีนอยด์ทำให้มีสีเหลืองและสีแดง สำหรับในผลไม้เองก็มีโมเลกุลชนิดที่เรียกว่า แอลฟาแคโรทีน แกมม่าแคโรทีน และไลโคฟีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างสีของผลไม้ ตัวอย่างเช่น มะเขือเทศและแตงโมมีสีแดงสดเพราะมีไลโคพีนมากกว่าสารสีอย่างอื่น เป็นต้น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมผลไม้บางชนิดตอนที่ยังดิบอยู่จะมีสีเขียว แต่พอสุกกลับมีสีเหลือง ยิ่งสุกก็ยิ่งเหลือง ซึ่งนั่นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ สารเคมีธรรมชาติที่ทำให้สีของผลไม้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างมะม่วงจะมีการเปลี่ยนแปลงของคลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์ กล่าวคือ ตอนที่เป็นมะม่วงดิบจะมีคลอโรฟิลล์มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารแคโรทีนอยด์ในมะม่วงจะเพิ่มมากขึ้นในขณะที่คลอโรฟีลล์ ลดลง จึงทำให้มะม่วงสุกเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองนั่นเอง

สาร สีแต่ละชนิดให้คุณประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเรา มีผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชที่ ชื่อว่า มาร์ ฟาร์กัวสัน ได้ทำการแยกไว้อย่างคร่าว ๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้ค่ะ

1. สารสีส้ม ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ซึ่งเป็นเม็ดสีเหลืองส้มที่มีมากในแครอทและมะละกอ แคโรทีนเป็นสารที่มีศักยภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเร็ง และแคโรทีนยังสามารถทำลายเซลล์มะเร็ง โดยผลจากการทดลองกับหนูพบว่าแคโรทีนทำให้ขนาดก้อนมะเร็งลดลงได้ถึง 7 เท่าทีเดียว แถมยังสามารถลดการขยายตัวของก้อนมะเร็งในปอดและกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ใน การต้านมะเร็ง นอกจากนี้ เบตาแคโรทีนที่อยู่ในแครอทและมะละกอยังช่วยให้ผิวพรรณของเรามี สีเหลืองสวยงามได้ อีกด้วย และหากใครรับประทานมะละกอห่ามมาก ๆ นาน 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
2. สารสีแดง ไลโคพีน (Lycopene) เป็นตัวการทำให้เกิดมะเขือเทศและแตงโมมีสีแดงสดใส แต่ก็ยังมีสาร เบต้าไซซิน (Betacycin) ที่ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่เช่นกัน โดยทั้งไลโคพีนและเบต้าไซซินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิดเช่นกัน โดยเฉพาะไลโคพีนมีฤทธิ์ต้านมะเร็งมากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่าทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งปอด เป็นต้น และผลจากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารใส่มะเขือเทศ ไม่ว่าจะเป็นซอสมะเขือเทศ หรือน้ำมะเขือเทศในหนึ่งอาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 10 มื้อ จะแคล้วคลาดจากมะเร็งต่อมลูกหมากได้เกือบครึ่ง

3. สารสีเหลือง ได้แก่ ลูเทอีน (Lutein) คือ สารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ซึ่งช่วยป้องกันความเสื่อมของ จุดสี หรือแสงสีของเรตินาในดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็นได้

4. สารสีเขียว ได้แก่ คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้พืชผักต่าง ๆ มีสีเขียว ยิ่งผักที่มีสีเขียว เข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก เป็นต้น โดยสารคลอโรฟีลล์ที่ว่านี้มีคุณค่าอย่างมาก เพราะเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่าง ๆ ในตัวคนได้ดีด้วยค่ะ

5. สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ให้สีม่วงในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วง ชมพู่ มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารก่อมะเร็ง แถมสารแอนโทไซยานินยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้อีกด้วย

เห็น ไหมคะว่าสารสีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในผักและผลไม้ทุกชนิดมีศักยภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากเพียงไร ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งโรคที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ทีเดียว ทีนี้น้อง ๆ ก็ทราบถึงคุณประโยชน์ของสารสีในพืชผักและผลไม้กันแล้ว หากน้องจะรับประทานอาหารในมื้อต่อไปก็อย่าลืมเลือกอาหารที่มีผักและตบท้าย ด้วยผลไม้สดนานาชนิด จะได้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้าค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม "อนุมูลอิสระ" เป็นสารที่เกิดจากปฏิกิริยาย้อนกลับของออกซิเดน ซึ่งเป็นของเสียจากการที่ร่างกายเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน โดยอนุมูลอิสระนี้เป็นสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดกระบวนการทำลายเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย อันเป็นสาเหตุความเสื่อมของร่างกายที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพเซลล์เสื่อม เช่น โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคปอด โรคสมองเสื่อม โรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัย ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนังได้ด้วย

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

กินยาแล้วนอนทันทีอันตราย !

กินยาแล้วนอนทันทีอาจตายได้จริงหรือ เป็นคำถามที่หลายๆ คน ได้อ่านอีเมลที่มีการส่งต่อๆ กันไป อยากรู้คำตอบ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มีส่วนที่จริงมาก เพราะการกินยาก่อนนอน คือกินยาแล้วนอนทันทียาอาจจะไปจับอยู่ที่ตรงหลอดอาหาร อยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหารเกิดแผล พอเกิดแผลมากๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ประมาณตี 3 จะลุกขึ้นมาเลย เพราะแน่นหน้าอก ซึ่งมักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียวๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

วิธีง่ายๆ คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา รอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาหาร เพราะยาบางอย่างเวลากินน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่า มันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก แค่หายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหาร

ดังนั้นการกินยาก่อนนอน อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที ยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนานๆ อาจเป็นมะเร็ง เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ตรงหลอดอาหาร อันตรายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะกรดไหลย้อน

ถามว่าเวลากินยาควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ขอเรียนว่า ดื่มได้ทั้ง 2 ประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บางชนิดในกลุ่มส้ม มะนาว เพราะมันจะทำให้ยาแตกตัวเร็วตั้งแต่ในปาก แทนที่จะดูดซึมในกระเพาะอาหาร ก็จะแตกตัวในปากไม่ช่วยรักษาโรค แถมทำให้ยาไม่ดูดซึมดี

ส่วนที่บอกว่า ห้ามกินยาพร้อมกับนม หรือห้ามกินยาหลังดื่มนมนั้น ความจริงแล้วสามารถดื่มนมพร้อมกับยาได้ แต่มีข้อยกเว้นกับยาบางประเภท เช่น เตตร้าไซคลิน ดอกซีไซคลีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ยารักษาสิวจะกินกับนมไม่ได้ ถ้ายาชนิดเดียวกันแต่มีทั้งยาเม็ด ยา น้ำ แคปซูล ควรกินชนิดใด ขอเรียนว่า ยาเม็ดจะได้ยาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่ายาประเภทอื่น

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากแนะนำคือ ยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ เช่น แคปซูล ห้ามแบ่งเด็ดขาด เพราะมีบางบ้านแบ่งเอาไปใส่น้ำหวานให้ลูกกิน ซึ่งต้องบอกว่า การแบ่งยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ อาจทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และอาจเกิดอันตรายได้

ทำไมต้องกินผักให้หลากหลาย

ชีวจิตเราเคยเสนอหลักการรับประทานอาหารให้ครบส่วนไปแล้วซึ่งในแต่ละส่วนจำเป็นต้องรับประทานให้หลากหลาย เพราะในอาหารแต่ละอย่างจะมีสารอาหารหลักไม่เหมือนกัน การรับประทานได้มากชนิดเท่าไร ก็เท่ากับได้สารอาหารหลากหลายเท่านั้น

ผักก็เช่นเดียวกันที่ควรจะรับประทานให้หลากหลาย ไม่ใช่วันๆ สั่งแต่คะน้าหรือผักบุ้งอยู่แค่นั้น เพราะผักแต่ละชนิดก็จะให้คุณค่า แร่ธาตุแตกต่างกันออกไป

สารผัก หรือไฟโตเคมิคอล (Phytochemical) เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญวิตามินเสริมที่มีมาขายทุกวันนี้ก็ล้วนแต่สกัดมาจาก "สารในผัก" ทั้งนั้น ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงได้เกือบทุกชนิด เช่น โรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ โดยที่หาไม่ได้จากอาหารชนิดอื่นๆ (ยกเว้นธัญพืช ถั่ว และผลไม้)

สารผักแต่ละชนิดจะให้คุณค่าต่อร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่น

อัลลิซัลไฟด์ส (Allyl sulfides) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายให้กำจัดสารพิษได้ดีขึ้น พบมากในหอมหัวใหญ่ หอมเล็ก ต้นหอม และกระเทียม

กลูคาเรต (Glucarate) ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง พบมากในมะเขือยาว มันฝรั่ง พริกไทย

ดิธิโอลธิโอเนส (Dithiolthiones) และ ไอโซธิโอไซยาเนต (Isothiocyanate) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ให้ขับสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ดีขึ้น พบได้ในผักตระกูลกะหล่ำทุกชนิด

อินโดล (Indole) ช่วยลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง เช่นมะเร็งเต้านมได้ พบในผักตระกูลกะหล่ำ

ฟลาโวนอยด์ส (Flavonoids) เป็นผักตัวสำคัญอีกตัวหนึ่ง เพราะเป็นสารที่ช่วยทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น และต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น (คือทำให้วิตามินบางตัวทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมุลอิสระได้) ฟลาโวนอยด์สสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น

-เควอร์เซติน (Quercetin) พบมากในมะเขือเทศ มันฝรั่ง บร็อคเคอลี หอมหัวใหญ่

-แกมป์เฟโรล (Kaempferol) ในผักคะน้า

แคโรทีนนอนด์ (Carotenoid) สารกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักดีในฐานะที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่จะทำให้ผักมีสีเขียวเข้ม เหลือง ส้ม แดง หรือม่วง ประกอบด้วย

-เบต้าแคโรทีน (Bata-carotene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวเก่ง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้เป็นอย่างดีพบมากในผักสีจัดๆ เช่น แครอท ผักใบเขียวทุกชนิด พริกหวานสีแดง ฟักทอง

-ไลโคเพน (Lycopene) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก พบได้ในมะเขือเทศ

-ลูทีน (Lutein) ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งและชะลอความเหยี่ยวย่นของผิวหนัง พบมากในผักใบเขียวทุกชนิด

ดีและมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้ารับประทานผักครบถ้วน รับรองว่าแข็งแรงและสุขภาพดีแน่นอน